นิพพาน

คำนำ & คำเตือนเรื่องการสอนนิพพาน

ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่รู้ ไม่แจ้ง ไม่เข้าใจในพระนิพพาน ไม่ควร จะสั่งสอนพระนิพพานแก่ผู้อื่น หากฝืนสอนย่อมพาหลงทาง เป็นบาปแก่ตน ควรสอนเพียงคลองทางสุคติ: ทาน ศีล ๕–๘ กุศลกรรมบถ การบำรุงมารดาบิดา อุปัชฌาย์อาจารย์ และการก่อสร้างบุญอันเป็นประโยชน์ตนและผู้อื่น เพื่อมนุษย์สมบัติ–สวรรค์สมบัติพอควร

ผู้ไม่รู้พระนิพพานไม่ควรเป็นครูสั่งสอนทางนี้ เหมือนคนไม่เป็นช่างแต่คิดจะสอนช่าง—เพียงคำพูดไม่พอ ต้องทำให้ดูเป็นแบบอย่างก่อน มิฉะนั้นย่อมพากันฉิบหาย หลงโลกหลงทาง

รูป–นาม–สัญญา–จิต–เจตสิก

สัญญา ๒ ประการ: รูปสัญญา และ นามสัญญา—อย่าถือว่ารูปกายหรือจิตเจตสิกเป็น “ตัวตน” หรือ “ของเรา” ทั้งสิ้นเป็นของอาศัยภายนอก

รูปกับนามเชื่อมต่อกันผ่านอายตนะทั้ง ๖ โดยมี วิญญาณเป็นตัวเชื่อม เมื่อมีผัสสะ วิญญาณย่อมรับรู้อารมณ์ สร้างการชอบ–ไม่ชอบ เกิดเจตนาและความจำตามมา

อ่านเพิ่มเติม: อุปาทานขันธ์ ๕

อนัตตา & ความเป็นทุกข์ของสังขาร

ตัวตนทั้งของเรา ผู้อื่น และสัตว์ทั้งหลาย มีเพียงกองธาตุ ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารถาวร อนัตตา คือไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา บังคับไม่ได้ตามใจ

ชีวิตที่สำคัญว่ามีสุข แท้จริงเต็มด้วยทุกข์: เจ็บ ป่วย แก่ ตาย พลัดพราก ระแวงรักษาสิ่งยึดถือ—สุขมีน้อยกว่าทุกข์นัก

อสุภกรรมฐาน & ลมหายใจ

ผู้ปรารถนาพระนิพพาน พึงเจริญ อสุภกรรมฐาน เห็นกายนี้ไม่น่ายินดี แม้ยังมีชีวิตก็เป็นของเปื่อยเน่า หากไร้หนังหุ้มยิ่งน่าเกลียด อัตภาพตั้งอยู่ได้ด้วยลมอัสสาสะ–ปัสสาสะเท่านั้น ขาดลมเมื่อใดก็แตกทำลาย

แม้ลมหายใจยังเป็นอนัตตา—อยากอยู่ก็อยู่ อยากดับก็ดับ บังคับไม่ได้ ผู้มีปัญญาจึงคลายความฟุ้งหลงในรูปตนและของผู้อื่น

กิเลส ๕ & ทิฏฐิผิด ๒

ตัณหา–ฉันทะ–ราคะ

ตัณหาที่เพิ่งเกิดอ่อน ๆ เรียก ฉันทะ (ยังไม่ก่อกำหนัด) เมื่อเกิดบ่อยและมีกำลังจึงเป็น ราคะ อันทำให้เกิดกำหนัดยินดี จิตไหลเสพอารมณ์ในทวารต่าง ๆ

รู้จักนิพพานก่อนปรารถนา

ผู้ปรารถนานิพพานควรศึกษาให้รู้จัก “คลองแห่งนิพพาน” ให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่หวังได้ด้วยความไม่รู้ แม้ผู้รู้แล้วยังต้องบากบั่นอย่างยิ่ง

รู้แล้วให้ละเหตุแห่งโทษ ไม่ใช่ตั้งไว้เพื่อ “อ่าน–ฟัง–พูด เล่น” บุญกุศลไม่ยกตัวเข้าสู่นิพพานโดยตรง ต้องใช้เพื่อระงับกิเลสตัณหา—เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ตน หากเราไม่ดับ ไม่มีใครดับแทนได้

สุข–ทุกข์ ควรให้ถึงเสียแต่ในชาตินี้

อย่าหลงว่าตายแล้วจึงได้สุข—จิตดวงเดิมนั่นเองรับสุข–ทุกข์ในภพหน้า ผู้ไม่ทำบุญศีลภาวนาไว้ก่อน เป็นคนหลง ผู้อยากพ้นทุกข์ต้องทำให้ถึงในชาตินี้

ทำใจให้เหมือนแผ่นดิน

ทางไปนิพพาน “ดิบ” เริ่มที่ทำจิตให้เหมือนแผ่นดิน—เขาทำดี–ทำร้าย กล่าวร้าย–กล่าวดี อย่างไร แผ่นดินไม่โกรธไม่เคือง ให้ระลึกว่าอาศัยอยู่ชั่วคราว อยู่ไปคอยวันตาย ไม่ยึดวัตถุภายนอก แม้ใจอันเป็นของสำคัญก็ต้องฝึกวาง

วางใจจากโลกธรรม & ปัจจัย ๔

ปล่อยวาง โลภะ–โทสะ–โมหะ; วางโลกธรรม ๘ (ลาภ–เสื่อมลาภ ยศ–เสื่อมยศ นินทา–สรรเสริญ สุข–ทุกข์) แม้ปัจจัย ๔ ก็ไม่เมามัว—ได้ดีบริโภคดี ได้เลวใช้เลว ตามมีตามได้ โดยไม่ให้ใจขุ่นมัว ถ้ายังเลือกเฟ้นเพราะโลภะ–โทสะ–โมหะ แปลว่ายังถือจิตใจอยู่ ยังไปนิพพานไม่ได้

จิตไม่ใช่ของเรา

ถ้าจิตเป็นของเราแท้ เราคงสั่งได้ให้ไม่แก่ไม่ตาย แท้จริงจิตก็อาศัย “ลม” อยู่สำหรับโลก มิใช่ของใครผู้หนึ่ง เรามาอาศัยชั่วคราว เมื่อถึงนิพพานแล้ว ต้องวางจิตใจคืนแก่โลก—วางสุข–ทุกข์–บุญ–บาป วางคุณ–โทษ วางโลภะ–โทสะ–โมหะ เหมือนไร้หัวใจ จึงชื่อว่า “ทำให้เหมือนแผ่นดิน”

วางสุข–ทุกข์–บุญ–บาป จึงถึงโลกุตรนิพพาน

ถ้ายังวางไม่ได้ อย่าหวังโลกุตรนิพพานเลย หนทางคือรู้เหตุ–ดับเหตุ ให้ถึงด้วยใจจริงในปัจจุบัน แล้วความหลงจึงสิ้นไป