ดับกิเลสทั้งห้า

คำนำ

ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์ และพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ให้ถึงแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็นการลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน ผู้ที่ปรารถนาความสุขในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือนดังคนตายแล้ว คือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย ข้อสำคัญก็คือให้ดับกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเสีย

กิเลส ๑,๕๐๐ เมื่อย่นลงเหลือ ๕

กิเลส ๑,๕๐๐ นั้น เมื่อย่นลงให้สั้นแล้ว ก็เหลืออยู่ ๕ เท่านั้น คือ โลภะโทสะโมหะมานะทิฏฐิ

ถ้าดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ได้แล้ว ก็ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นทั้ง ๑,๕๐๐; ถ้าดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ไม่ได้ ก็ชื่อว่าดับกิเลสไม่ได้เลย

เหตุที่ถึงนิพพานด้วยยาก

ปุถุชนคนหนาทั้งหลายที่ปรารถนาพระนิพพานได้ด้วยยาก ก็เพราะไม่รู้จักดับกิเลสตัณหา เข้าใจว่า “ทำบุญให้มากแล้ว บุญจะเลื่อนลอยมานำตนไปสู่นิพพาน” แท้จริงพระนิพพานมีอยู่ที่จิตใจนั่นเอง ครั้นดับโลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิได้ขาดแล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น

ถ้ายังไม่รู้และไม่ดับกิเลสตัณหา แม้ปรารถนาว่า “ขอให้ได้พระนิพพาน” สิ้นหมื่นชาติแสนชาติก็ไม่พบ เพราะกิเลสตัณหามีอยู่ที่ตัวเราเอง เราแลจะเป็นผู้ระงับดับกิเลสให้สิ้นไป จึงจะสำเร็จ

เพราะเหตุใดจึงให้บวช

การให้บวช ก็เพื่อจะได้บุญและกุศล—ตัวบุญตัวกุศลไม่ใช่อื่น คือ ความดับกิเลส รักษากิจวัตรและพระวินัย ดับกิเลสมากก็เป็นบุญมาก ดับได้น้อยก็เป็นบุญน้อย ดับไม่ได้ก็ไม่เป็นบุญเลย บาปอกุศลก็คือตัวกิเลส คือตัณหานั่นเอง

ผู้ไม่รู้จักบุญบาป เห็นว่าบุญอยู่นอกตัว ทำแล้วบุญจะเลื่อนลอยมาจากนภาลัยเวหา นำตัวไปสู่สวรรค์และนิพพาน—ล้วนเป็นความเห็นหลงทั้งสิ้น

บุญบาป สุขทุกข์ อยู่ที่ไหน

สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี บาปบุญคุณโทษก็ดี ย่อมมีอยู่ที่เรา มิใช่ภายนอกตัว ทำบุญแล้วคอยให้บุญมานำไปสุคติ—คิดอย่างนี้ตั้งร้อยชาติแสนชาติก็ไม่ได้

เมื่อตัวไม่ชอบทุกข์ อยากได้สุข ก็จงพยายาม แก้ใจของเรา เอง ใครพาใครให้พ้นจากทุกข์ไม่ได้ สุขทุกข์อยู่ที่เรา—เมื่อเราหาไม่ได้แล้ว คนอื่นจักหามาให้เราไม่ได้

ทำบุญแล้ว “ไม่รู้บุญ” = มีบุญเปล่า ๆ

ผู้ทำบุญแต่ไม่รู้จักบุญ–ไม่รู้จักสุข ทำบุญแล้วปรารถนาความสุขอยู่นอกตัว—น่าสมเพทนัก ทำเวลาใดก็ได้เวลานั้น แต่เมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจ จึงมีบุญและสุขไว้เปล่า ๆ “เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา”

คำว่า “บุญจะพาไปให้ได้รับความสุขเอง แม้ไม่รู้ก็ช่าง” เป็นความหลง—เพราะเมื่อไม่รู้สุข ก็เท่ากับไม่รู้บุญ

สุขทุกข์พาใครไปไม่ได้

สุขทุกข์ใครช่วยใครไม่ได้ ใครจะพาใครไปนรก สวรรค์ หรือพระนิพพานไม่ได้ ต้องไปด้วยตนเอง ผู้ใดอยากพ้นขุมนรกสุกในเมืองผี จงทำตนให้พ้นจาก “นรกดิบ” ในเมืองคนเสียก่อน ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบในเมืองคนนี้ ตายไปก็ไม่อาจได้สวรรค์สุกเลย

สวรรค์ดิบในชาตินี้

สวรรค์ดิบในเมืองคน คือ ความได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสมบัติ เกียรติยศ บริวารยศ นามยศ ผู้ปรารถนาความสุขภายหน้า จงให้ได้รับสุขแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ อย่าเห็นแก่ความลำบาก

ทั้งสวรรค์ดิบและสวรรค์สุก ล้วนเจือปนด้วยทุกข์—เป็นสุขจริงแต่ไม่ปราศจากทุกข์

สวรรค์สุก vs พระนิพพาน

สวรรค์สุกในชั้นฟ้าต่าง ๆ แม้สุขก็ยังไม่พ้นทุกข์ ต่างจาก พระนิพพาน ซึ่งเป็นเอกันตบรมสุข ไม่เจือปนทุกข์

อย่าสงสัยว่าสวรรค์ดิบในชาตินี้กับสวรรค์สุกในชาติหน้าต่างกันมาก—ถึงต่างก็เพียงเล็กน้อย หากต้องการสุขเพียงใด จงพากเพียรให้ได้ในชาตินี้

ส่วนความสุขในพระนิพพาน จะว่ายากก็เหมือนง่าย จะว่าง่ายก็เหมือนยาก—ยากเพราะไม่รู้ไม่เห็น พาลปุถุชนจับไม่ถูกที่ จึงต้องพยายามเปล่าประโยชน์; ส่วนผู้มีปัญญา จับถูกที่ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรให้ยาก นั่งนอนเฉย ๆ สุขในพระนิพพานก็มาปรากฏ เพราะความสุขในพระนิพพาน ไม่เจือด้วยทุกข์