ดับกิเลสทั้งห้า
ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์ และพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ให้ถึงแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็น การลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน ผู้ที่ปรารถนาความสุข ในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือน ดังคนตายแล้ว คือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย ข้อสำคัญก็คือให้ดับกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเสีย กิเลส ๑,๕๐๐ นั้น เมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ ๕ เท่านั้น คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ ทิฏฐิ ๑ โลภะนั้น คือ ความทะเยอทะยานมุ่งหวังอยากได้กิเลสกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ๑ อยากได้วัตถุกาม คือสมบัติข้าวของ ซึ่งมีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้๑ เหล่านี้ชื่อว่าโลภะ, โทสะนั้นได้แก่ความเคืองแค้น ประทุษร้ายเบียดเบียน ท่านผู้อื่น ชื่อว่าโทสะ, โมหะนั้นคือความหลง มีหลงรัก หลงชังหลงลาภ หลงยศ เป็นต้น ชื่อว่าโมหะ, มานะ นั้นคือ ความถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นท่านผู้อื่น ชื่อว่ามานะ ทิฏฐินั้น คือความถือมั่นในลัทธิอันผิด เห็นเป็นอุจเฉททิฏฐิและ สัสสตทิฏฐิไป ปล่อยวางความเห็นผิดไม่ได้ชื่อว่าทิฏฐิ ถ้า ดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ได้แล้ว ก็ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นทั้ง ๑,๕๐๐ ถ้าดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ไม่ได้ ก็ชื่อว่าดับกิเลสไม่ได้เลย
ดูกร อานนท์ ปุถุชนคนหนาทั้งหลาย ที่ปรารถนาพระนิพพาน ได้ด้วยยากนั้น ก็เพราะเหตุที่ไม่รู้จักดับกิเลสตัณหา เข้าใจ เสียว่าทำบุญทำกุศลให้มากแล้ว บุญกุศลนั้นจักเลื่อนลอย มาจากอากาศเวหา นำตัวขึ้นไปสู่พระนิพพาน ส่วนว่า พระนิพพานนั้นจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็หารู้ไม่ เป็นแต่ คาดคะเนเอาอย่างนั้น จึงได้พระนิพพานด้วยยาก แท้ที่จริง พระนิพพานนั้นไม่มีอยู่ในที่อื่นไกลเลย หากมีอยู่ที่จิตใจ นั้นเอง ครั้นดับ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ได้ขาด แล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าไม่รู้และดับกิเลสตัณหา ยังไม่ได้ เป็นแต่ปรารถนาว่า ขอให้ได้พระนิพพานๆ ดังนี้ แม้สิ้นหมื่นชาติแสนชาติก็ไม่ได้พบปะเลย เพราะกิเลส ตัณหาทั้งหลาย ย่อมมีอยู่ที่ตนตัวของเราทั้งสิ้น เมื่อตัว ไม่รู้จักระงับกิเลสตัณหาที่มีอยู่ให้หมดไปก็ไม่ถึงเท่านั้น จะคอยท่าให้บุญกุศลมาช่วยระงับดับกิเลสของตัวเช่นนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงคิด บุญกุศลนั้นก็คือตัวเรานี้เอง เราแล จะเป็นผู้ระงับดับกิเลสให้สิ้นไปหมดไปจึงจะสำเร็จได้สม ประสงค์ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ถึง พระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆ จึง ไม่ได้ไม่ถึง เขา ไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ในใจของเขา มีแต่ คิดในใจว่าจะไปเอาในชาติหน้า หารู้ไม่ว่า นรกและสวรรค์ และพระนิพพานมีอยู่ในตน เหตุฉะนั้นจึงพากันตกทุกข์ ได้ยากลำบากยิ่งนัก พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร นี้ ถือเอากำเนิดในภพน้อยภพใหญ่อยู่ไม่มีที่สิ้นที่สุด
ดูกรอานนท์ การที่เราตถาคตต้องการให้บวชนั้น ก็เพื่อจะให้ได้บุญและกุศล อะไรชื่อว่าเป็นตัวบุญตัวกุศล ตัวบุญตัวกุศลนั้นไม่ใช่สิ่งอื่น คือความดับเสียซึ่งกิเลส การ รักษากิจวัตรและพระวินัย อย่างไรก็ตาม ถ้าดับกิเลสได้มาก ก็เป็นบุญมาก ถ้าดับกิเลสได้น้อยก็เป็นบุญน้อย ถ้าดับ กิเลสไม่ได้ก็ไม่เป็นบุญเลย บาปอกุศลนั้นก็ไม่ใช่อื่น คือ ตัวกิเลส กิเลสก็คือตัณหานั้นเอง ดับกิเลสตัณหาได้เท่าใด ก็เป็นบุญเท่านั้น ถ้าดับกิเลสตัณหาไม่ได้ก็เป็นอันไม่ได้บุญ ไม่ได้กุศลเลย ผู้ที่ไม่รู้จักบุญและบาปนั้นมาทำความเข้าใจ ว่า บวชรักษาข้อวัตรรักษาศีลเอาบุญ บุญนั้นมีอยู่นอกตน นอกตัว มีอยู่ที่ดินฟ้าอากาศ เมื่อบวชได้รักษากิจวัตรแล้ว บุญนั้นก็จะเลื่อนลอยมาจากสถานที่ต่างๆ มีนภาลัยเวหา อากาศเป็นต้น มานำเอาตัวขึ้นไปสู่สวรรค์และพระนิพพาน เห็นไปโดยผิดทางเช่นนี้ ล้วนแต่เป็นคนหลงสิ้นทั้งนั้น
ดูกรอานนท์ ผู้ที่ไม่รู้จักบาป เข้าใจว่าบาปนั้นอยู่นอกตน นอกตัว เมื่อทำบาปแล้วบาปนั้นก็จะลุกมาแต่นรกใต้พื้นดิน มาจับกุมคุมเอาตัวลงไปสู่นรก การที่ทำความเข้าใจอย่างนี้ นับว่าเป็นคนหลงสิ้นทั้งนั้น ดูกรอานนท์ สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี บาปบุญคุณโทษก็ดี ย่อมมีอยู่ที่เรา จะเข้าใจว่าบาปบุญอยู่ ภายนอกตัว ทำบุญแล้วคอยท่าบุญจะมานำเอาตัวไปสู่สุคติ คิดอย่างนี้ตั้งร้อยชาติแสนชาติก็ไม่อาจได้ อันว่าบุญบาป สุขทุกข์ ย่อมไม่มี ณ ภายนอกตัว บุญกุศลและความ สุขนั้นก็คือดวงจิต ส่วนบาปกรรมทุกข์โทษนั้นคือ หมู่แห่งตัณหา ตัณหานั้นจักมี ณ ที่อื่นนอกจากตัวตน ของเราแล้วไม่มี ตัวบุญและตัวบาปก็อยู่ที่ใจของเรา เมื่อตัวไม่ชอบทุกข์ อยากได้ความสุข ก็จงพยายามแก้ใจ ของเรานั้นเถิด ถ้าเราไม่เป็นผู้แสวงหาความสุขให้พ้นจาก ทุกข์แล้ว ใครมาช่วยตัวเราให้พ้นจากทุกข์ให้ได้รับความสุข ได้เล่า เพราะสุขทุกข์อยู่ที่ตัวของเรา เมื่อเราหามิได้แล้ว ใครคนอื่นที่ไหนเขาจะหามาให้เราได้ ดูกรอานนท์ บุคคล ผู้ที่เข้าใจว่าบุญกุศลสวรรค์และพระนิพพานมีผู้นำมาให้ บาปกรรมทุกข์โทษ นรกและสัตว์ดิรัจฉานก็มีผู้พาไปทั้งสิ้น บุคคลที่เข้าใจอย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้หลงโลกหลงทางสงสาร บุคคลจำพวกนั้น แม้จะทำบุญให้ทานสร้างกุศลใดๆ ที่สุด จนออกบวชในพระศาสนานี้ ก็หาความสุขมิได้ จะได้เสวย แต่ความทุกข์โดยถ่ายเดียว ดูกรอานนท์ บุญกับสุขหาก เป็นอันเดียวกัน เมื่อมีบุญก็ชื่อว่ามีความสุข บาปกับทุกข์ ก็เป็นอันเดียวกัน เมื่อมีบาปก็ได้ชื่อว่ามีทุกข์ ถ้าไม่รู้บาป ก็ละบาปไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักบุญก็หาบุญไม่ได้ เปรียบเหมือน เราอยากได้ทองคำ แต่เราหารู้ไม่ว่าทองคำนั้นมีรูปพรรณ สัณฐานอย่างไร ถึงทองคำนั้นมีอยู่และเห็นอยู่เต็มตา ก็ ไม่อาจถือเอาได้โดยเหตุที่ไม่รู้จัก แม้บุญเหมือนกัน ถ้า ไม่รู้จักบุญก็หาบุญไม่ได้ อย่าว่าแต่บุญซึ่งเป็นของไม่มีรูปร่าง เลย แม้แต่สิ่งอื่นๆ ที่มีรูปร่าง ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักก็ถือเอา ไม่ได้ ดูกรอานนท์ บุคคลที่ไม่รู้จักบุญและไม่รู้จักสุข ทำบุญ จะไม่ได้บุญ ไม่ได้สุขเสียเลย เช่นนั้นตถาคตก็หากล่าว ปฏิเสธไม่ ทำบุญคงได้บุญและได้สุขอยู่นั้นแล แต่ทว่าตัว หากไม่รู้ไม่เข้าใจว่าบุญและความสุขก็ยังเกิดอยู่ที่ตัวนั้นเอง เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเป็นอันมีบุญและสุขไว้เปล่าๆ ดูกร อานนท์ บุคคลจำพวกที่ไม่รู้จักบุญคือความสุข เมื่อ ทำบุญแล้วปรารถนาเอาความสุขน่าสมเพทเวทนานักหนา ตัวทำบุญก็ได้บุญในทันใดนั้นเอง มิใช่ว่าเมื่อทำแล้วนานๆ จึงจะได้ ทำเวลาใดก็ได้เวลานั้น แต่ตัวไม่รู้ นั่งทับ นอนทับ บุญอยู่เปล่าๆ ตัวก็ไม่ได้รับบุญ คือความสุข จึงว่าเสียที ที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัส เทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้. ดูกรอานนท์ บุคคลที่เข้าใจว่า ทำบุญไว้มากๆ แล้วจะรู้และไม่รู้ก็ไม่เป็นไร บุญจะพาไป ให้ได้รับความสุขเอง เช่นนี้ชื่อว่าเป็นคนหลงโดยแท้ เพราะเหตุไร บุญจึงจะพาตัวไปรับความสุขอย่างเดียว เมื่อ ไม่รู้สุขก็คือไม่รู้จักบุญ เมื่อเรารู้สุขก็เห็นสุขก็คือเรารู้บุญ เห็นบุญนั้นเอง จะให้ใครพาไปหาใครที่ไหน ดูกรอานนท์ สุขทุกข์นี้ใครจะช่วยใครไม่ได้ ใครจะพาใครไปนรกและ สวรรค์และนิพพานต้องไปด้วยตัวเอง จะพาเอาคนอื่นไปด้วย ไม่ได้เป็นอันขาด ผู้ใดอยากพ้นจากขุมนรกสุกในเมืองผี ก็จงทำตนให้พ้นจากนรกดิบในเมืองคนเรานี้เสียก่อน ถ้า ไม่ได้สวรรค์ดิบในเมืองคนนี้ แม้เมื่อตายไปแล้วก็ไม่อาจได้ สวรรค์สุกเลย ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบไว้ก่อนแล้ว ตายไปก็มีนรก เป็นที่อยู่โดยแท้ แม้ความสุขในสวรรค์ก็ยังไม่ปราศจากทุกข์ มิใช่ว่าจะมีทุกข์แต่สวรรค์ดิบ ในเมืองคนเราเท่านั้นก็หามิได้ ถึงสวรรค์สุกในชั้นฟ้าชั้นใดๆ ก็ดี สุขกับทุกข์ก็มีอยู่เสมอกัน เป็นความสุขที่ยังไม่ปราศจากทุกข์ ไม่เหมือนพระนิพพาน ซึ่งเป็นเอกันตบรมสุข มีแต่สุขโดยส่วนเดียวไม่ได้เจือปนไป ด้วยทุกข์เลย ดูกรอานนท์ อันว่าสวรรค์ดิบในเมืองคนเรานี้ ก็คือความได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสมบัติข้าวของ เกียรติยศ บริวารยศและนามยศ เมื่อบุคคลผู้ใดได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ เช่นนั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เสวยสุขในสวรรค์ดิบ ผู้ปรารถนา ความสุขในภายภาคหน้า ก็จงให้ได้รับความสุขแต่เมื่อยังมี ชีวิตอยู่ อย่าเห็นแก่ความลำบากยากแค้น ในสวรรค์ชั้น ใดๆ จะเป็นสวรรค์ดิบในเมืองคนหรือสวรรค์สุกในเมืองฟ้า ทุกชั้น ย่อมเจือปนอยู่ด้วยทุกข์ทั้งนั้น ไม่แปลกต่างกัน และไม่มากไม่น้อยกว่ากัน ความสุขในสวรรค์ก็เป็นความ สุขจริง จะว่าไม่สุขนั้นไม่ได้ แต่ว่าเป็นสุขที่เจืออยู่ด้วยทุกข์ แม้ถึงกระนั้นก็คงดีกว่าตกอยู่ในนรกโดยแท้ ดูกรอานนท์ สวรรค์ดิบในชาตินี้กับสวรรค์สุกในชาติหน้า อย่าสงสัยว่า จะต่างกัน ถึงจะต่างกันบ้างก็เพียงเล็กน้อย เมื่อต้องการ ความสุขเพียงใด ก็จงพากเพียรให้ได้แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ใน เมืองคนนี้ จะนั่งจะนอนคอยให้สุขมาหานั้นไม่ได้ ไม่เหมือน พระนิพพานความสุขในพระนิพพานนั้นไม่ต้องขวนขวาย เมื่อจับถูกที่แล้ว นั่งสุขนอนสุขได้ทีเดียว ความสุขใน พระนิพพาน จะว่ายากก็เหมือนง่าย จะว่าง่ายก็เหมือนยาก ที่ว่ายากนั้นยากเพราะไม่รู้ไม่เห็น พาลปุถุชนคนตามืด ทั้งหลาย รู้ไม่ถูกที่ เห็นไม่ถูกที่ จับไม่ถูกที่ จึงต้องพากเพียร พยายามหลายอย่างหลายประการ และเป็นการเปล่าจาก ประโยชน์ด้วย ส่วนท่านที่มีปัญญาพิจารณาถูกที่ จับถูกที่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรให้ยาก นั่งๆ นอนๆ อยู่เปล่าๆ เท่านั้น ความสุขในพระนิพพานก็มาบังเกิดแก่ท่านได้เสมอ เพราะ เหตุฉะนั้นจึงว่าความสุขในพระนิพพานไม่เป็นสุขที่เจือไป ด้วยทุกข์.