พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้าที่ 267
อรรถกถากาลิงคชาดก*
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ-
ปรารภการบูชามหาโพธิ์ ที่พระอานนท์เถระการทำแล้ว ตรัสพระธรรม
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ราชา กาลิงฺโค จกฺกวตฺติ ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระตถาคตเสด็จหลีกจาริกไปตามชนบท เพื่อ
ประโยชน์จะทรงสงเคราะห์เวไนยสัตว์ ชาวกรุงสาวัตถีต่างถือของหอมและ
ดอกไม้เป็นต้นไปยังพระเชตวัน ไม่ได้ปูชนียสถานอย่างอื่นไปวางไว้ที่ประตู
พระคันธกุฎี ด้วยเหตุนั้น เขาก็มีความปราโมทย์กันอย่างยิ่ง. ท่านอนาถปิณฑิก
มหาเศรษฐีทราบเหตุนั้นแล้ว จึงไปยังสำนักพระอานนท์เถระ ในเวลาที่
พระตถาคตเสด็จมาพระเชตวัน กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อพระตถาคต
เสด็จหลีกจาริกไป พระวิหารนี้ไม่มีปัจจัย มนุษย์ทั้งหลายไม่มีสถานที่บูชา
ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ขอโอกาสเถิดท่านเจ้าข้า ขอท่านจงกราบทูล
ความเรื่องนี้แด่พระตถาคต แล้วจงรู้ที่ที่ควรบูชาสักแห่งหนึ่ง.
พระอานนทเถระรับว่า ดีละ แล้วทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ เจดีย์มีกี่อย่าง. พระศาสดาตรัสตอบว่า มีสามอย่างอานนท์.
พระอานนทเถระทูลถามว่า สามอย่างอะไรบ้างพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า
ธาตุเจดีย์ ๑ ปริโภคเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑. พระอานนทเถระทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์
ได้หรือ. พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะ
ธาตุเจดีย์นั้น จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สำหรับอุทเทสิกเจดีย์
ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น ต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้า
บาลีเป็น กาลิงคโพธิชาดก*
อาศัยเป็นที่ตรัสรู้ ถึงพระพุทธเจ้าจะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้ว
ก็ตาม เป็นเจดีย์ได้เหมือนกัน. พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อพระองค์เสด็จหลีกไป พระมหาวิหารเชตวันหมดที่พึ่งอาศัย มนุษย์ทั้งหลาย
ไม่ได้สถานที่เป็นที่บูชา ข้าพระองค์จักนำพืชจากต้นมหาโพธิมาปลูกที่ประตู
พระเชตวัน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดีแล้วอานนท์ เธอจงปลูกเถิด
เมื่อเป็นเช่นนั้น ในพระเชตวันก็จักเป็นดังตถาคตอยู่เป็นนิตย์. พระอานนท์เถระ
บอกแก่พระเจ้าโกศล อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐี และนางวิสาขามหาอุบาสิกา
เป็นต้น ให้ขุดหลุม ณ ที่เป็นที่ปลูกต้นโพธิที่ประตูพระเชตวัน แล้วกล่าวกะ
พระมหาโมคคัลลานเถระว่า ท่านขอรับ กระผมจักปลูกต้นโพธิที่ประตูพระ-
เชตวัน ท่านช่วยนำเอาลูกโพธิสุกจากต้นมหาโพธิให้กระผมทีเถิด.
พระมหาโมคคัลลานเถระรับว่า ดีละ แล้วเหาะไปยังโพธิมณฑล
เอาจีวรรับลูกโพธิที่หล่นจากขั้วแต่ยังไม่ถึงพื้นดิน ได้แล้วนำมาถวายพระ-
อานนทเถระ. พระอานนทเถระได้แจ้งความพระเจ้าโกศลเป็นต้นว่า เราจัก
ปลูกต้นโพธิ์ในที่นี้. พระเจ้าโกศลให้ราชบุรุษถือเครื่องอุปกรณ์ทุกอย่างเสด็จ
มาพร้อมด้วยบริวารใหญ่ในเวลาเย็น. อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐี มหาอุบาสิกา
วิสาขา และผู้มีศรัทธาอื่น ๆ ก็ได้ทำเช่นนั้น.
พระอานนทเถระ ตั้งอ่างทองใบใหญ่ไว้ในที่เป็นที่ปลูกต้นโพธิ ให้
เจาะก้นอ่างแล้วให้ลูกโพธิสุกแด่พระเจ้าโกศล ทูลว่า มหาบพิตร พระองค์
จงปลูกโพธิสุกนี้เถิด พระเจ้าโกศลทรงพระดำริว่า ความเป็นพระราชามิได้
ดำรงอยู่ตลอดไป ควรที่เราจะให้อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีปลูกต้นโพธินี้ ทรง
ดำริดังนี้ แล้วได้วางลูกโพธิสุกนั้นไว้ในมือของมหาเศรษฐี. อนาถปิณฑิก
มหาเศรษฐีรวบรวมเปือกตมที่มีกลิ่นหอมแล้ว ฝังลูกโพธิสุกไว้ในเปือกตมนั้น
พอลูกโพธิพ้นมือมหาเศรษฐี เมื่อชนทั้งปวงกำลังแลดูอยู่ ได้ปรากฏลำต้น
โพธิประมาณเท่างอนไถ สูงห้าสิบศอก แตกกิ่งใหญ่ห้ากิ่ง ๆ ละห้าสิบศอก
คือในทิศทั้งสี่และเบื้องบน ต้นโพธินั้นเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าต้นไม้ใหญ่ในป่า
ตั้งขึ้นในทันใดนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้.
พระราชารับสั่งให้เอาหม้อทองคำและหม้อเงิน ๘๐๐ หม้อ ใส่น้ำหอม
เต็ม ประดับด้วยดอกบัวเขียว สูงขึ้นมาหนึ่งศอกเป็นต้น ตั้งเป็นแถวแวดล้อม
ต้นมหาโพธิ แล้วรับสั่งให้ทำแท่นสำเร็จด้วยรัตนะเจ็ด โปรยปรายผสมทอง
สร้างกำแพงล้อมรอบ ทำซุ้มประตูสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ เครื่องสักการะได้มีเป็น
อันมาก. พระอานนทเถระเข้าไปเฝ้าพระตถาคต กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระองค์จงประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิ์ที่ข้าพระองค์ปลูก เข้าสมาบัติ
ที่ข้าพระองค์เข้า ณ โคนต้นมหาโพธิ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน.
พระศาสดาตรัสว่า พูดอะไร อานนท์ เมื่อเรานั่งเข้าสมาบัติที่ได้เข้าแล้ว ณ
มหาโพธิมณฑล ประเทศอื่นก็ไม่อาจที่จะทรงอยู่ได้. พระอานนท์เถระกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน ขอพระองค์จง
ใช้สอยโคนต้นโพธิ์นั้น ด้วยความสุขเกิดแก่สมาบัติ โดยกำหนดว่าใกล้ภูมิ-
ประเทศนี้เถิด. พระศาสดาทรงใช้สอยโคนต้นโพธินั้น ด้วยความสุขเกิดแต่
สมาบัติตลอดราตรีหนึ่ง.
พระอานนท์เถระถวายพระพรแด่พระเจ้าโกศลเป็นต้น ให้ทำการฉลอง
ต้นโพธิ. และต้นโพธิ์แม้นั้น ก็ปรากฏว่า อานนท์โพธิทีเดียว เพราะเป็น
ต้นไม้ที่พระอานนท์ปลูกไว้. ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า
ท่านพระอานนท์ เมื่อตถาคตยังดำรงอยู่ ให้ปลูกต้นโพธิ์แล้วบูชาอย่างมากมาย
พระเถระมีคุณมากน่าอัศจรรย์จริง. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูล
ให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน
อานนท์ก็ได้พามนุษย์ในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ พร้อมด้วยทวีปบริวาร ให้นำของหอม
และดอกไม้เป็นอันมากไปกระทำการฉลองต้นโพธิ์ ณ มหาโพธิมณฑลเหมือนกัน
ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล พระเจ้ากาลิงคราชเสวยราชสมบัติอยู่ในทันตปุรนคร
แคว้นกาลิงคะ. พระองค์มีพระราชโอรสของพระองค์ คือ มหากาลิงคะ
องค์หนึ่ง จุลลกาลิงคะองค์หนึ่ง ในสององค์นั้น องค์พี่ พวกโหรทำนายว่า
จักได้ครองราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาล่วงลับไปแล้ว แต่องค์น้องพวกโหร
ทำนายว่า จักบวชเป็นฤาษีเที่ยวภิกขาจาร แต่โอรสขององค์น้องจักได้เป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ.
ต่อมาภายหลัง เมื่อพระราชบิดาล่วงลับไป พระราชโอรสองค์พี่เป็น
พระราชา องค์น้องเป็นอุปราช. อุปราชนั้น ได้มีมานะขึ้นเพราะบุตรเป็นเหตุว่า
ได้ยินว่า ลูกของเราจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. พระราชานั้นทรงอดทนอยู่
ไม่ได้จึงรับสั่งกะอำมาตย์รับใช้คนหนึ่งว่า เจ้าจงจับเจ้าจุลลกาลิงคะ. อำมาตย์
นั้นไปกราบทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร พระราชาประสงค์จะจับพระองค์ ขอจง
รักษาชีวิตของพระองค์ไว้. อุปราชได้เอาของสามอย่างของพระองค์ คือ
พระราชลัญจกร ผ้ากัมพลเนื้อละเอียด และพระขรรค์ แสดงแก่อำมาตย์รับใช้
แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายพึงให้ราชสมบัติแก่บุตรของเราด้วยสัญญานี้ แล้ว
เสด็จเข้าป่า สร้างอาศรมในภูมิประเทศที่รื่นรมย์ บวชเป็นฤาษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ.
แม้ในแคว้นมัททราช พระอัครมเหสีของพระเจ้ามัททราชในสาคลนคร
ประสูติพระธิดา. พวกโหรทำนายพระธิดาว่า พระธิดานี้จักเที่ยวภิกขาจาร
เลี้ยงชีพ แต่พระโอรสของพระนางจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. พระราชา
ชาวชมพูทวีปได้สดับเหตุดังนั้น จึงมาล้อมพระนครพร้อมกัน. พระเจ้า
มัททราชทรงดำริว่า ถ้าเราให้ธิดานี้แก่พระราชาองค์หนึ่ง พระราชาที่เหลือ
ก็จักโกรธ เราจักรักษาธิดาของเราไว้ จึงพาพระธิดาและพระอัครมเหสีปลอม
พระองค์หนีเข้าป่า สร้างอาศรมอยู่ทางเหนืออาศรมของกาลิงคกุมาร เลี้ยงชีพ
ด้วยมวลผลาหารอยู่ ณ ที่นั้น. พระชนกชนนีทรงดำริว่า เราจักรักษาธิดาอยู่
ในอาศรม แล้วไปหาผลาหาร. ในเวลาที่พระชนกชนนีไป พระธิดาได้เอา
ดอกไม้ต่าง ๆ มาทำเป็นเทริดดอกไม้แล้ววางไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา จนเกิด
เป็นเหมือนคั่นบันได. ที่นั้นมีต้นมะม่วงที่งามชอุ่มอยู่ต้นหนึ่ง พระธิดาขึ้นเล่น
บนต้นมะม่วง แล้วปาเทริดดอกไม้ไป.
วันหนึ่ง เทริดดอกไม้ไปคล้องพระเศียรของกาลิงคกุมารผู้กำลัง
สรงสนานอยู่ในแม่น้ำคงคา. พระกาลิงคกุมารแลดูแล้ว ทรงพระดำริว่า เทริด
ดอกไม้นี้ หญิงคนหนึ่งกระทำ แต่ไม่ใช่หญิงแก่ทำ เป็นหญิงสาวทำ เราจัก
ตรวจตราดูก่อน จึงไปเหนือน้ำคงคาด้วยอำนาจกิเลส ได้สดับเสียงของพระธิดา
ผู้นั่งอยู่บนต้นมะม่วงร้องเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ จึงเสด็จไปที่โคนต้นไม้
ทอดพระเนตรเห็นพระธิดา จึงตรัสถามว่า แม่นางผู้มีพักตร์อันเจริญ ท่าน
เป็นใคร. พระธิดาตอบว่า เราเป็นมนุษย์. พระกุมารตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น
ท่านจงลงมา. พระธิดาตรัสว่า นาย เราเป็นกษัตริย์ไม่อาจลงไปได้. พระกุมาร
ตรัสว่า ที่รัก ฉันเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ท่านจงมาเถิด. พระธิดาตรัสว่า
นาย คนมิใช่เป็นกษัตริย์ได้ด้วยเหตุสักว่าถ้อยคำเท่านั้น ถ้าท่านเป็น
กษัตริย์ ขอท่านจงกล่าวมายาของกษัตริย์เถิด. ชนทั้งสองนั้นต่างกล่าวมายา
กษัตริย์กะกันและกัน. เมื่อชนทั้งสองอยู่ด้วยความรักใคร่ พระราชธิดาก็ตั้ง
ครรภ์ โดยครบ ๑๐ เดือนก็ประสูติพระราชโอรส ซึ่งสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะ
อันอุดม. พระชนกชนนีได้ขนานนามว่า กาลิงคะ. กาลิงคกุมารนั้นเจริญวัย
สำเร็จการศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่าง ในสำนักของพระชนกและพระอัยกา.
ลำดับนั้น พระชนกของกาลิงคกุมารนั้น ตรวจดูดวงดาวก็ทราบว่าพี่ชายสวรรคต
แล้ว จึงบอกบุตรว่า พ่ออย่าอยู่ในป่าเลย พระเจ้ามหากาลิงคะผู้เป็นลุงของพ่อ
สวรรคตแล้ว พ่อจงไปยังทันตปุรนคร ครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์เถิด แล้ว
มอบพระธำมรงค์ผ้ากัมพลและพระขรรค์ ซึ่งพระองค์นำมาให้แล้วตรัสสั่งว่า พ่อ
ในทันตปุรนคร อำมาตย์ผู้ประพฤติประโยชน์ของเรามีอยู่ที่ถนนโน้น พ่อจง
เหาะลงไปที่กลางที่นอนในเรือนของเขา แล้วแสดงรัตนะสามประการนี้ แล้ว
บอกความที่เจ้าเป็นโอรสของเราแก่เขา เขาจักช่วยเจ้าให้ได้ครองราชสมบัติ.
กาลิงคกุมารนั้น กราบลาพระชนกชนนีและอัยกาแล้ว เหาะไปด้วย
บุญฤทธิ์ ลงนั่งเหนือที่นอนของอำมาตย์ ถูกถามว่า ท่านเป็นใคร จึงบอกว่า
เราเป็นบุตรของจุลลกาลิงคะ แล้วแสดงรัตนะสามนั้น. อำมาตย์จึงประกาศแก่
ราชบริษัท. อำมาตย์และราชบริษัททั้งหลายพร้อมกันประดับประดาพระนคร
นั้น อภิเษกกาลิงคกุมารให้ครองราชสมบัติ.
ลำดับนั้น ปุโรหิตชื่อว่า ภารทวาชะ ของพระเจ้ากาลิงคะได้กราบทูล
จักรพรรดิให้พระเจ้ากาลิงคะทรงทราบ. พระเจ้ากาลิงคะนั้น ทรงบำเพ็ญ
จักรวัตรนั้นให้บริบูรณ์แล้ว. ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ จักรแก้วก็มาจากที่อยู่
ของจักรแก้ว ช้างแก้วก็มาจากตระกูลอุโปสถ ม้าแก้วก็มาจากตระกูลอัศวราชวลา-
หก แก้วมณีก็มาจากเขาเวปุลลบรรพต นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ก็บัง
เกิดปรากฏแก่พระเจ้ากาลิงคะนั้น.
พระเจ้าจักรพรรดิกาลิงคราช ทรงครองราชสมบัติตลอดห้องจักรวาล
วันหนึ่ง มีเสนาแวดล้อมเต็มไปในที่ประมาณ ๓๖ โยชน์ เสด็จขึ้นทรงช้างเผือก
ขาวเปรียบด้วยอดเขาไกรลาส ไปสู่สำนักพระชนกชนนีด้วยสิริวิลาสใหญ่.
ฝ่ายช้างพระที่นั่งพระเจ้าจักรพรรดินั้น ไม่อาจเหาะข้ามมหาโพธิ-
มณฑลอันเกิดแต่สะดือแผ่นดิน อันเป็นไชยมงคลของพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้.
พระเจ้าจักรพรรดิราชทรงไสไปเนือง ๆ แต่ช้างทรงนั้นก็ไม่อาจที่จะ
ไปได้.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ว่า
พระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า กาลิงคะ ได้
ทรงสั่งสอนมนุษย์ทั่วแผ่นดินโดยธรรม ได้เสด็จไปสู่
ที่ใกล้ต้นโพธิด้วยช้างทรงมีอานุภาพมาก.
ลำดับนั้น ปุโรหิตของพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งตามเสด็จไปด้วยคิดว่า
ธรรมดาว่าทางอากาศไม่มีเครื่องกั้น เพราะเหตุไรหนอ พระราชาจึงไม่อาจจะ
ไสช้างไปได้ เราจักตรวจตราดู แล้วลงจากอากาศตรวจตราเห็นภูมิภาคอันเป็น
มณฑลสะดือแผ่นดิน มีชัยบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง.
ได้ยินว่า ในครั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าต้นหญ้าแม้สักเท่าหนวดกระต่ายมิได้มี
ในที่มีประมาณ ๘ กรีสนั้นเลย มีแต่ทรายอันมีสีเหมือนแผ่นเงิน เรี่ยรายอยู่
หญ้าเครือเถาไม้ใหญ่โดยรอบที่นั้น มียอดเวียนประทักษิณโพธิมณฑล แล้ว
ตั้งอยู่เฉพาะหน้าโพธิมณฑล.
ปุโรหิตตรวจดูภูมิภาคแล้ว คิดว่า แท้จริง ที่นี้เป็นที่ ๆ กำจัดกิเลส
ทั้งปวงของพระพุทธเจ้าทั้งปวง แม้ถึงใคร ๆ มีท้าวสักกะเป็นต้น ก็ไม่อาจ
ที่จะเหาะข้ามที่นี้ไปได้ จึงไปเฝ้าพระเจ้ากาลิงคราช แสดงคุณของพระโพธิ
มณฑล แล้วกราบทูลพระราชาว่า เสด็จลงเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
ภารทวาชปุโรหิต พิจารณาดูภูมิภาคแล้ว จึง
ประคองอัญชลีกราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นบุตร
แห่งดาบส ชื่อว่า กาลิงคะว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จลง
เถิด ภูมิภาคนี้อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นสมณะทรง
สรรเสริญแล้ว พุทธเจ้าทั้งหลายผู้ตรัสรู้โดยยิ่ง มี
พระคุณหาประมาณมิได้ ย่อมไพโรจน์ ณ ภูมิภาคนี้.
หญ้าและเครือเถาทั้งหลายในภูมิภาคส่วนนี้
ม้วนเวียนโดยรอบทักษิณาวัฏ ภูมิภาคส่วนนี้เป็นที่ไม่
หวั่นไหวแห่งแผ่นดิน ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์
สดับมาอย่างนี้.
ภูมิภาคส่วนนี้ เป็นมณฑลแห่งแผ่นดิน อัน
ทรงไว้ซึ่งภูตทั้งปวง มีสาครเป็นขอบเขต ขอเชิญ
พระองค์เสด็จลงแล้ว กระทำการนอบน้อมเถิด
พระเจ้าข้า.
ช้างกุญชรเชือกประเสริฐ เกิดในตระกูลอุโปสถ
ย่อมไม่เข้าไปใกล้ประเทศเลย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
ช้างเชือกประเสริฐ เป็นช้างเกิดในตระกูล
อุโบสถโดยแท้ ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้
ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้ ถ้าพระองค์ยังทรงสงสัย
อยู่ ก็จงทรงไสช้างพระที่นั่งไปเถิด.
พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรง
ใคร่ครวญถ้อยคำของปุโรหิตผู้ชำนาญการพยากรณ์ว่า
เราจักรู้ถ้อยคำของปุโรหิตนี้ว่า จริงหรือไม่จริงอย่างนี้
แล้ว ทรงไสพระที่นั่งไป.
ฝ่ายช้างพระที่นั่ง ถูกพระราชาไสไปแล้ว ก็
เปล่งเสียงดุจนกกระเรียนแล้วถอยหลังทรุดคุกลง ดัง
อดทนภาระหนักไม่ได้ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมณโกลญฺญํ แปลว่า บุตรแห่งดาบส.
บทว่า จกฺกวตฺตยโต ความว่า ผู้มีมานะว่า เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
อธิบายว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. บทว่า ปริคฺคเหตฺวา ความว่า ตรวจดูภูมิภาค.
บทว่า สมณุคีโต ความว่า อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงพรรณนาแล้ว. บทว่า
อนธิวรา แปลว่า ผู้มีคุณอันชั่งมิได้ ประมาณมิได้. บทว่า วิโรจนฺติ
ความว่า ผู้กำจัดความมืดคือกิเลสทั้งปวงได้แล้ว ย่อมนั่งรุ่งเรืองอยู่ในภูมิภาค
ส่วนนี้ เหมือนพระสุริโยทัยทอแสงอ่อน ๆ ฉะนั้น. บทว่า ติณลตา ได้แก่
หญ้าและเครือเถา. บทว่า มณฺโฑ ความว่า เป็นมณฑลแห่งแผ่นดินหนาถึง
สองแสนสี่หมื่นโยชน์ เป็นสาระไม่ถูกอะไร ๆ ครอบงำได้ เป็นสถานที่ไม่
หวั่นไหว เมื่อกัปยังดำรงอยู่ก็ดำรงอยู่ก่อน เมื่อกัปพินาศก็พินาศในภายหลัง.
บทว่า อิติ โน สุตํ ความว่า ข้าพระองค์ได้สดับมาแล้วด้วยลักษณะมนต์
อย่างนี้. บทว่า โอโรหิตฺวา ความว่า ขอเชิญพระองค์ลงจากอากาศแล้ว
จงกระทำการนอบน้อม คือกระทำการบูชาสักการะต่อสถานที่ เป็นที่กำจัด
กิเลสของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นี้. บทว่า เย เต ความว่า ช้าง
ประเสริฐตัวบังเกิดในตระกูลอุโบสถ กล่าวคือช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ.
บทว่า เอตฺตาวตา ความว่า ช้างเชือกประเสริฐทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ไปใกล้
ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้เลย แม้จะถูกตักเตือนก็ไม่เข้าไป. บทว่า อภิชาโต
ความว่า ช้างเชือกประเสริฐนี้ ในตระกูลอุโปสถ ครอบงำ ก้าวล่วง ตระกูลช้าง
ทั้ง ๘ มีโคจริยาเป็นต้น. บทว่า กุญฺชรํ แปลว่า ชนิดสูงสุด. บทว่า
เอตฺตาวตา ความว่า ช้างประเสริฐนี้ ไม่สามารถเข้าไปประเทศมีประมาณ
เท่านี้ได้ คือไม่อาจเข้าไปให้ยิ่งกว่านั้นไปได้ พระองค์เมื่อหวังเฉพาะจงให้
สัญญาด้วยขอเพชรแล้วไสไป. บทว่า เวยฺยญฺชนิกวโจ นิสาเมตฺวา ความว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นั้น ทรงตรวจตราใคร่ครวญถ้อยคำ
ของกาลิงคภารทวาชปุโรหิตนั้นเชี่ยวชาญชำนาญในการพยากรณ์ลักษณะแล้ว
ใคร่ครวญพิจารณาว่า เราจักรู้คำของผู้นี้เป็นความหรือไม่จริงดังนี้ จึงไสช้าง
พระนั่งไป. บทว่า โกญฺโจว อภินทิตฺวา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ช้างเชือกประเสริฐนั้น อันพระราชาทรงเตือนแล้วด้วยขอประดับเพชรแล้วไส
ไป จึงเปล่งเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียน ถอยไปชูงวงขึ้นน้อมคอเข้าไป
นั่งอยู่บนอากาศนั่นเอง ทำเป็นเหมือนไม่อาจจะนำภาระหนักไปได้.
ช้างพระที่นั่งนั้น เมื่อถูกพระเจ้าจักรพรรดิทิ่มแทงอยู่บ่อย ๆ ไม่อาจจะ
อดกลั้นทุกขเวทนาได้ทำกาละแล้ว.
ส่วนพระเจ้ากาลิงคะ เมื่อไม่ทราบว่าช้างทรงถึงแก่ความตาย จึงคง
ประทับอยู่ ณ ที่นั้น. ปุโรหิตภารทวาชะ ชาวกาลิงคะจึงกราบทูลว่า ข้าแต่
พระมหาราชเจ้า ช้างพระที่นั่งของพระองค์สิ้นชีวิตแล้ว ขอพระองค์ทรงก้าว
ไปสู่ช้างเชือกอื่นเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาที่ ๑๐ ว่า
ปุโรหิตภารทวาชะกาลิงครัฐ รู้ว่าช้างพระที่นั่ง
สิ้นอายุแล้ว จึงรีบกราบทูลพระเจ้ากาลิงคะว่า ข้าแต่
พระมหาราชเจ้า ขอเชิญเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่งเชือก
อื่นเถิด ช่างพระที่นั่งเชือกนี้สิ้นอายุแล้วพระเจ้าข้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโค ขณายุโก ความว่า ช้างเชือก
ประเสริฐของพระองค์ ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว เพราะเมื่อพระราชาจะทรงทำพระ-
ราชกิจอะไรๆ ไม่สามารถประทับนั่งบนหลังได้ ขอพระองค์จงทรงก้าวไปทรง
ช้างประเสริฐเชือกอื่น เพื่อเสด็จไปโดยที่สุดแห่งโพธิมณฑล.
ด้วยกำลังพระฤทธิ์ของพระเจ้ากาลิงคะ ช้างเชือกประเสริฐอื่นก็มาจาก
ตระกูลอุโปสถแล้วน้อมหลังเข้าไปใกล้พระเจ้ากาลิงคะ. พระเจ้ากาลิงคะเสด็จ
ประทับนั่งบนหลังของช้างเชือกนั้น. ขณะนั้น ช้างเชือกที่ตายก็ล้มลงไปบน
พื้นดิน.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาอีกว่า
พระเจ้ากาลิงคะ ทรงสดับคำนั้นแล้วจึงรีบเสด็จ
ไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกใหม่ เมื่อพระราชาเสด็จก้าว
ไปพ้นแล้ว ช้างพระที่นั่งที่ตายแล้วก็ล้มลง ณ พื้นดิน
ที่นั่นเอง ถ้อยคำของปุโรหิต ผู้ชำนาญการพยากรณ์
เป็นอย่างใด ช้างพระที่นั่งเป็นอย่างนั้น.
ลำดับนั้น พระเจ้ากาลิงคราชจึงเสด็จลงจากอากาศ แล้วทอดพระเนตร
ดูโพธิมณฑลเห็นปาฏิหาริย์ เมื่อจะทรงสรรเสริญปุโรหิตภารทวาชะจึงตรัสว่า
พระเจ้ากาลิงคะ ได้ตรัสกะพราหมณ์ภารทวาชะ
ชาวกาลิงครัฐ อย่างนี้ว่า ท่านเป็นสัมพุทธะ รู้เหตุ
ทั้งปวงโดยแท้.
พราหมณ์ปุโรหิตมิได้รับคำสรรเสริญนั้น ตั้งตนไว้ในฐานะอันต่ำ
แล้วเข้าใกล้สรรเสริฐพระพุทธคุณเท่านั้น.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
กาลิงคพราหมณ์ เมื่อไม่รับคำสรรเสริญนั้น จึง
ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์เป็นผู้
ชำนาญการพยากรณ์ชื่อว่า พุทธะ ผู้รู้เหตุทั้งปวงก็จริง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวยฺยญฺชนิกา ความว่า ข้าแต่พระ-
มหาราชเจ้า ข้าพระองค์เห็นพยัญชนะแล้ว เป็นผู้สามารถเมื่อพยากรณ์ได้
ชื่อว่าสุคตพุทธะ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ก็พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้เหตุทั้งปวง
เป็นผู้รู้ธรรมทั้งปวง ความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงทราบและทรงรู้แจ้งเหตุ
ทั้งปวงต่างด้วยอดีตเหตุเป็นต้น คือพระพุทธเจ้าเหล่านั้นย่อมรู้เห็นทั้งปวง
ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ โดยลักษณะ ส่วนข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นผู้สามารถ
ในอาคม (นิกายเป็นที่มา) รู้ด้วยกำลังศิลปะเท่านั้น และรู้เพียงเอกเทศเดียว
เท่านั้น ส่วนพระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้เหตุทั้งปวงแล.
เจ้ากาลิงคะได้สดับพุทธคุณแล้วเกิดโสมนัส จึงให้ชนผู้อยู่ในสกล
จักรวาลนำของหอมเเละมาลาเป็นอันมาก มากระทำการบูชาพระมหาโพธิมณฑล
สิ้น ๗ วัน.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถา
ว่า
พระเจ้ากาลิงคะ ทรงนำเอามาลาและเครื่องลูบ-
ไล้พร้อมด้วยดนตรีต่าง ๆ ไปบูชาพระมหาโพธิ์แล้ว
รับสั่งให้กระทำกำแพงแวดล้อมไว้.
รับสั่งให้เก็บดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียน
มาบูชาโพธิมณฑลอันเป็นอนุตริยะ แล้วเสด็จกลับ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปายาสิ ความว่า ท้าวเธอได้เสด็จไป
ยังสำนักของพระชนกชนนีแล้ว ทรงรับสั่งให้ยกเสาทองคำ สูงประมาณ ๑๘ ศอก
ณ มหาโพธิมณฑลแล้วให้สร้างเวที แล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ถวายพระ-
มหาโพธินั้น เกลี่ยทรายเจือด้วยแก้ว ให้สร้างกำแพงล้อมไว้ ให้สร้างซุ้ม
ประตู ให้รวบรวมดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียนทุกวัน ๆ แล้วบูชา
โพธิมณฑลด้วยประการฉะนี้. แต่ในบาลีมาเพียงเท่านี้ว่า สฏฺฐิวาหสหสฺสานิ
ปุปฺผานํ ดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียน.
พระเจ้ากาลิงคะ ครั้นทรงทำการบูชาพระมหาโพธิอย่างนี้แล้ว เสด็จ
ไปหาพระชนกชนนีมาสู่เมืองทันตุปุระแล้วบำเพ็ญกุศลทั้งหลายมีทานเป็นต้น
สิ้นพระชนม์แล้วบังเกิดในดาวดึงสพิภพ.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า อานนท์
ได้ทำการบูชาโพธิมณฑลในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน อานนท์ก็ได้
กระทำการบูชาโพธิมณฑลแล้วเหมือนกัน แล้วตรัสประชุมชาดกว่า พระเจ้ากา-
ลิงคะ ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนปุโรหิตชื่อว่าภารทวาชะ
ชาวกาลิงคะคือเราตถาคตแล.
จบอรรถกถากาลิงคชาดก