พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 185
ขัชชนิยสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่ถูกขันธ์ ๕ เคี้ยวกิน
[๑๕๘] กรุงสาวัตถี. ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จริงอยู่
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เมื่อตามระลึกถึงนพเพนิวาส
(ชาติก่อน) เป็นจำนวนมาก ก็จะระลึกได้ตามลำดับ สมณะหรือพราหมณ์
ทั้งปวงนั้น ก็จะตามระลึกถึงอุปาทานขันธ์ ๕ หรือขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง
บรรดาขันธ์เหล่านี้. อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? คือ จะตามระลึกถึงรูป
ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีรูปอย่างนี้ จะตามระลึกถึงเวทนาดังนี้ว่า
ในอดีตกาลเราเป็นผู้มีเวทนาอย่างนี้ จะตามระลึกถึงสัญญาดังนี้ว่า
ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีสัญญาอย่างนี้ จะตามระลึกถึงสังขารดังนี้ว่า
ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีสังขารอย่างนี้ จะตามระลึกถึงวิญญาณดังนี้ว่า
ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีวิญญาณอย่างนี้.
[๑๕๙] ก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป? เพราะ
สลายไปจึงเรียกว่ารูป สลายไปเพราะอะไร? สลายไปเพราะหนาวบ้าง
เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง เพราะระหายบ้าง เพราะสัมผัสแห่ง
เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เพราะอะไรจึงเรียกว่าเวทนา? เพราะเสวยจึงเรียกว่าเวทนา เสวย
อะไร? เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์
ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า
สัญญา? เพราะจำได้หมายรู้จึงเรียกว่าสัญญา จำได้หมายรู้อะไร?
จำได้หมายรู้สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่าสังขาร? เพราะปรุงแต่งสังขตธรรม
จึงเรียกว่าสังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร? ปรุงแต่งสังขตธรรม
คือ รูป โดยความเป็นรูป ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ เวทนา โดยความ
เป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร ปรุงแต่ง
สังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เพราะอะไรจึงเรียกว่าวิญญาณ? เพราะรู้แจ้งจึงเรียกว่าวิญญาณ
รู้แจ้งอะไร? รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง
รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสจืดบ้าง.
[๑๖๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราถูกรูปกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูก
รูปกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกรูปปัจจุบันกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้แล พึงชื่นชม
รูปอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็คงจะถูกรูปกิน เหมือนกับที่ถูกรูป
ปัจจุบันกินอยู่ในบัดนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัย
ในรูปอดีต ย่อมไม่ชื่นชมรูปอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อเบื่อหน่าย เพื่อ
คลายกำหนัด เพื่อความดับรูปปัจจุบัน. อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราถูกเวทนากินอยู่... บัดนี้เราถูกสัญญา
กินอยู่... บัดนี้เราถูกสังขารกินอยู่... บัดนี้เราถูกวิญญาณกินอยู่
แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกวิญญาณกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกวิญญาณ
ปัจจุบันกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้แล พึงชื่นชมวิญญาณอนาคต แม้ใน
อนาคตกาล เราก็คงจะถูกวิญญาณกินอยู่ เหมือนกับที่ถูกวิญญาณ
ปัจจุบันกินอยู่ในบัดนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัย
ในวิญญาณ แม้ที่เป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมวิญญาณอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อ
ความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับวิญญาณปัจจุบัน.
[๑๖๑] ภ. ก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็น
อัตตาของเรา.
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
ภ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็น
อัตตาของเรา.
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๑๖๒] ภ. ก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่
เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือ
ละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ รูปทั้งหมดนั้น
เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา. เวทนาอย่างใด
อย่างหนึ่ง สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง วิญญาณ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกล
หรือใกล้ วิญญาณทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น
นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราตถาคต
เรียกว่า จะปราศจากสะสม สั่งสม (วัฏฏะ) จะละทิ้ง ไม่ถือมั่น
จะกระจาย ไม่รวบรวมเข้าไว้ จะทำให้มอดไม่ก่อไห้ลุกโพลงขึ้น.
[๑๖๓] อริยสาวกจะปราศจากสั่งสม ไม่สั่งสมอะไร? จะ
ปราศจากสั่งสมรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่สั่งสมรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จะละทิ้งอะไร? ไม่ถือมั่นอะไร?
จะละทิ้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ถือมั่นรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ จะกระจายอะไร? ไม่รวบรวมอะไรไว้?
จะกระจายรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่รวบรวมรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณเข้าไว้ จะทำอะไรให้มอด? ไม่ก่ออะไรให้
ลุกโพลงขึ้น? จะทำรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้มอด ไม่ก่อ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ลุกโพลงขึ้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ จะเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งใน
เวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อม
คลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จะหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว
จะมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า จะไม่สั่งสม (และ) ไม่ปราศจาก
สั่งสม แต่เป็นปราศจากสั่งสมแล้วดำรงอยู่ จะไม่ละ (และ) ไม่ถือมั่น
แต่เป็นผู้ละได้แล้วตั้งอยู่ จะไม่ขยาย (และ) ไม่รวบรวมไว้ แต่เป็น
ผู้ขยายแล้วตั้งอยู่ จะไม่ทำให้มอด (และ) ไม่ก่อให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็น
ผู้ทำให้มอดได้แล้วตั้งอยู่.
[๑๖๔] อริยสาวกจะไม่ก่อ ไม่ปราศจากสั่งสม แต่ปราศจาก
สั่งสมอะไรแล้วตั้งอยู่? จะไม่ปราศจากสั่งสมรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ แต่เป็นผู้ปราศจากสั่งสมแล้วตั้งอยู่ จะไม่ละอะไร ไม่ถือมั่น
อะไร แต่เป็นผู้ละได้แล้วตั้งอยู่ ? จะไม่ละรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เป็นผู้ละได้
แล้วตั้งอยู่ จะไม่กระจายอะไร ย่อมไม่รวบรวมอะไรไว้ แต่เป็น
ผู้กระจายได้แล้วตั้งอยู่ จะไม่กระจายรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่รวบรวมรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เป็นผู้กระจายได้
แล้วตั้งอยู่ จะไม่ทำอะไรให้มอด ไม่ก่ออะไรให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็น
ผู้ทำให้มอดได้แล้วตั้งอยู่ จะไม่ทำรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ให้มอด ไม่ก่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ลุกโพลงขึ้น
แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้วตั้งอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาพร้อมด้วย
อินทรี พรหม และท้าวปชาบดี ย่อมนมัสการภิกษุผู้มีจิตพ้นแล้ว
อย่างนี้แล แต่ที่ไกลทีเดียวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นอุดมบุรุษ
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อมต่อท่าน ผู้ซึ่งข้าพเจ้า
ทั้งหลายมิได้รู้จักโดยเฉพาะ และผู้ซึ่งได้อาศัย
เพ่งพินิจอยู่ ดังนี้.
จบ ขัชชนิยสูตร
อรรถกถาขัชชนิยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในขัชชนิยสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ ความว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสหมายเอาการระลึกถึงด้วยอำนาจอภิญญา
ก็หาไม่ แต่ตรัสหมายเอาสมณพราหมณ์ผู้ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่
ในภพก่อนด้วยอำนาจวิปัสสนา.
ด้วยเหตุนั้นแล พระองค์จึงตรัสว่า สมณะหรือพราหมณ์
ย่อมระลึกถึงขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ๕ เหล่านั้นทั้งหมด หรือ
ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง บรรดาขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ๕ เหล่านั้น.
อธิบายว่า ขันธ์ก็ดี อุปาทานขันธ์ก็ดี สิ่งที่เนื่องด้วยขันธ์ก็ดี
บัญญัติก็ดี จัดเป็นอารมณ์แห่งการระลึกถึงด้วยอำนาจอภิญญาทั้งนั้น.
บทว่า รูปญฺเญว อนุสฺสรติ ความว่า ภิกษุผู้ระลึกถึงอยู่อย่างนี้
ไม่ใช่ระลึกถึงสัตว์หรือบุคคลอะไร ๆ อื่น แต่ว่า เธอได้ระลึกถึงเฉพาะ
รูปขันธ์ที่ดับแล้วในอดีต.
แม้ในขันธ์อื่นมีเวทนาเป็นต้น ก็มีนัย (ความหมาย) อย่าง
(เดียวกัน) นี้ เหมือนกันแล.
บัดนี้เพื่อจะทรงแสดงลักษณะแห่งสุญญตา พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า กิญฺจ ภิกฺขเว รูปํ วเทถ ดังนี้เป็นต้น.
อธิบายว่า เปรียบเหมือนเมื่อโคฝูง (หนึ่ง) กำลังเที่ยวหากินอยู่
ชาย (คนหนึ่ง) กำลังตามหาโค (ของตน) ที่หายไป พอเห็นโคพลิพัท
ตัวสีขาว สีแดง หรือสีดำเข้า ก็ยังไม่อาจตกลงใจได้ด้วยเหตุที่เห็นเพียง
เท่านี้ว่า นี้คือฝูงโคของเรา เพราะเหตุไร?๑ เพราะโคตัวอื่น ๆ ที่มี
ลักษณะเช่นนั้นก็ยังมีอยู่ แต่ครั้นได้เห็นรอยหอกและรอยหลาวเป็นต้น
ตามร่างกาย (ของโค) แล้ว เขาจึงตกลงใจได้ว่า นี้คือฝูงโคของเรา
ฉันใด (เรื่องสุญญตา) ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้
จะไต้ตรัสสุญญตาไว้แล้ว (แต่) ตราบใดที่ยังมิได้ตรัสถึงลักษณะของ
สุญญตาไว้ด้วย ตราบนั้นสุญญตานั้นก็ยังไม่เป็นอันตรัสไว้เสร็จสิ้นแล้ว
ต่อเมื่อได้ตรัสถึงลักษณะของสุญญตาไว้ด้วย (นั้นแล) จึงนับว่า
ได้ตรัสสุญญตาไว้เสร็จสิ้นแล้ว.
เพราะว่า สุญญตา เปรียบเหมือนโค ลักษณะของสุญญตา
เปรียบเหมือนลักษณะของโค เมื่อยังมิได้สังเกตถึงลักษณะของโค
โคก็ยังไม่นับว่าได้ถูกสังเกตไว้ดี ต่อเมื่อได้สังเกตถึงลักษณะของโคนั้น
แล้ว โคนั้นจึงนับว่าได้ถูกสังเกตไว้ดีแล้ว ฉันใด (ลักษณะของสุญญตา)
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ตรัสถึงลักษณะของ
สุญญตาไว้ด้วย สุญญตาก็ไม่นับว่าได้ตรัสไว้เสร็จสิ้นแล้ว แต่เมื่อได้
ตรัสถึงลักษณะของสุญญตานั้นไว้ด้วย สุญญตานั้นจึงเป็นอันตรัสไว้
เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อจะทรงแสดงลักษณะแห่งสุญญตาดังว่ามานี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า กิญฺจ ภิกฺขเว รูปํ วเทถ ดังนี้เป็นต้น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิญฺจ เป็นคำถามถึงเหตุ. อธิบายว่า
ด้วยเหตุไร เธอทั้งหลายจึงเรียกว่ารูป คือด้วยเหตุไร รูปนั้นจึงชื่อว่ารูป
บทว่า อิติ ในคำว่า รุปฺปตีติ โข นี้ เป็นบทแสดงถึงเหตุ อธิบายว่า
ก็เพราะเหตุที่รูปนั้นย่อยยับ ฉะนั้นจึงเรียกว่า รูป.
๑. ปาฐะว่า ตสฺมา ฉบับพม่าเป็น กสฺมา แปลตามฉบับพม่า
บทว่า รุปฺปติ ความว่า กำเริบ คือถูกกระทบกระทั่ง อธิบาย
ว่า ถูกบีบคั้น คือ แตกสลาย.
ในคำว่า สีเตนปิ รุปฺปติ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :
ก่อนอื่น ความย่อยยับเพราะความหนาวปรากฏ. (ชัด) ในโลกันตริยนรก.
อธิบายว่า ในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาล แต่ละจักรวาลมีโลกันตริยนรก
อยู่จักรวาลละหนึ่งแห่ง ซึ่ง (แต่ละแห่งกว้างใหญ่) ประมาณ ๘,๐๐๐ โยชน์
(และ) เบื้องล่างก็ไม่มีแผ่นดิน เบื้องบนก็ไม่มีแสงเดือน แสงตะวัน
(ไม่มี) แสงประทีป (ไม่มี) แสงแก้วมณี มืดมิดตลอดกาล บรรดาสัตว์ที่
บังเกิดในโลกันตริยนรกนั้น มีอัตภาพประมาณ ๓ คาวุต สัตว์เหล่านั้น
ใช้เล็บที่ยาวและหนา เกาะห้อยหัวอยู่ที่เชิงเขา คล้ายค้างคาว เมื่อใด
ห้อยโหน๑ไปถึงกัน ชั่วช่วงแขน เมื่อนั้น สำคัญอยู่ว่า เราได้อาหารแล้ว
จะทะยาน๒เข้าไปในที่นั้น ก็จะหมุนม้วนตกลงไปในน้ำที่ธารโลกไว้
ถูกลมปะทะขาดเป็นท่อน เหมือนผลมะซางตกลงไปในน้ำ พอตกลงไป
เท่านั้น ก็จะเดือดพล่าน แหลกเหลวอยู่ในน้ำกรด เหมือนก้อนแป้ง ตกลง
ในน้ำมันที่เดือด ฉะนั้น.
ความย่อยยับ เพราะถูกความหนาวปรากฏ (ชัด) ในโลกันตนรก
ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้.
แม้ในบรรดาประเทศที่หนาวเย็น เพราะหิมะตก มีมหิสรัฐ
เป็นต้น ความย่อยยับ (แบบ) นั้นก็ปรากฏ (ชัด) แล้วเหมือนกัน
จริงอยู่สัตว์ทั้งหลายในประเทศเหล่านั้น ถึงความสิ้นชีวิตไป เพราะ
มีสรีระแตกสลายไป เพราะความหนาว.
๑. ปาฐะว่า สมฺผสฺสนฺตา ฉบับพม่าเป็น สํสปฺปนฺตา แปลตามฉบับพม่า
๒. ปาฐะว่า ชาวนฺตา ฉบับพม่าเป็น พฺยาวฏา แปลตามฉบับพม่า
ความย่อยยับเพราะถูกความร้อน ปรากฏ (ชัด) ในอเวจีมหานรก.
ความย่อยยับเพราะความหิว ปรากฏ. (ชัด) ในเปรตวิสัย และในเวลา
เกิดข้าวยากหมากแพง. ความย่อยยับเพราะความระหาย ปรากฏ (ชัด)
ในอบายภูมิมีกาฬกัญชิกาอบายภูมิเป็นต้น.
กาฬกัญชิกอสูร
เล่ากันว่า กาฬกัญชิกอสูรตนหนึ่ง ไม่สามารถจะทนความ
ระหายได้ จึงลงมายังแม่น้ำมหาคงคา ซึ่งลึกและกว้างประมาณ
๑ โยชน์ (ปรากฏว่า) ในที่ที่อสูรตนนั้นไปถึงน้ำแห้งหมด (มีแต่) ควัน
พลุ่งขึ้น เวลานั้นคล้ายกับว่าอสูรได้เดินกลับไปกลับมาอยู่บนหินดาด
ที่ร้อนระอุ. เมื่ออสูรนั้นได้ฟังเสียงน้ำแล้ว วิ่งไปวิ่งมาอยู่ (อย่างนั้น)
นั่นแล ราตรีก็สว่าง (พอดี). เวลานั้น พระผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาต
เป็นวัตรประมาณ ๓๐ รูป กำลังเดินจะไปบิณฑบาตแต่เช้าตรู่ เห็น
เปรตนั้นเข้าจึงถามว่า "โยม โยมเป็นใคร ?"
"กระผมเป็นเปรต ขอรับ " เปรตตอบ
"โยมกำลังหาอะไรอยู่เล่า ?" พระถาม
" น้ำดื่ม ขอรับ"
"แม่น้ำคงคานี้ (มีน้ำ) เต็มเปี่ยม โยมมองไม่เห็นหรือ ?"
"แม่น้ำไม่สำเร็จ (ประโยชน์) เลย พระคุณเจ้า"
"ถ้าอย่างนั้น ขอให้โยมนอนลงบนพื้นแม่น้ำคงคาเถิด ปวงอาตมา
จะตักน้ำดื่มเทลงไปในปากของโยม"
เปรตนั้นได้นอนหงายลงบนหาดทราย. พระได้นำบาตรทั้ง
๓๐ ใบ ออกมา (ผลัดกัน) ตักน้ำเทลงไปในปากของเปรตนั้น. เมื่อ
พระเหล่านั้นทำอยู่อย่างนั้น เวลา (บิณฑบาฑ) ก็ใกล้เข้ามา. ครั้งนั้น
พระทั้งหลายจึงพูดว่า ได้เวลาบิณฑบาตของปวงอาตมาแล้วโยม
โยมพอได้ความสบายใจแล้วใช่ไหม ?
เปรตเรียนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าว่าน้ำประมาณ
ครึ่งฟายมือจากน้ำที่พระคุณเจ้าประมาณ ๓๐ รูป เอาบาตรทั้ง
๓๐ ใบ ตักเทให้โยมไหลเข้าไปในคอของโยมเหมือนอยู่ในคอของ
คนอื่นไซร้ ขอให้โยมจงอย่าได้พ้นไปจากอัตภาพเปรตเลย.
ความย่อยยับเพราะความระหายปรากฏ (ชัด) ในเปรตวิสัย
ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้.
ความย่อยยับเพราะเหลือบเป็นต้น ปรากฏ (ชัด) ในประเทศ
ทั้งหลายที่มากด้วยเหลือบและแมลงเป็นต้น. ก็ในบทเหล่านี้พึงทราบ
อธิบายดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ฑํสา ได้แก่ เหลือบ.
บทว่า มกสา ได้แก่ ยุงนั่นเอง.
แม้ลมทั้งหลายก็พึงทราบว่ามีลมในท้อง และลมที่สันหลัง
เป็นต้น. เพราะว่าโรคลมเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว ย่อมทำลายมือเท้า
และหลังเป็นต้น ย่อมทำให้เป็นคนตาบอด ทำให้เป็นคนค่อม ทำให้เป็น
คนง่อยเปลี้ย.
บทว่า อาตโป แปลว่า แสงแดด. ความย่อยยับเพราะแสงแดดนั้น
ปรากฏ (ชัด) ในทางกันดารทั้งหลายมีทางกันดารทะเลทรายเป็นต้น.
มีเรื่องเล่าว่า หญิงคนหนึ่งเหนื่อยล้าจากการเดินทางด้วย
กองเกวียนในทางกันดารทะเลทรายตลอดทั้งคืน ครั้นถึงเวลากลางวัน
เมื่อพระอาทิตย์อุทัยทรายร้อนระอุ นางไม่สามารถจะวางเท้าลงไปได้
จึงเอาตะกร้า (ที่เทินมา) ลงจากศีรษะแล้วเหยียบไว้ เมื่อตะกร้า
ร้อนมากเข้า ๆ โดยลำดับ นางก็ไม่สามารถ (เหยียบ) ยืนอยู่ได้ จึง
วางผ้าลงบนตะกร้านั้นแล้วเหยียบ เมื่อผ้าแม้นั้นร้อน นางจึงจับลูกน้อยที่
อุ้มมาให้นอนคว่ำหน้าลงแล้ว (ยืน) เหยียบลูกน้อยซึ่งส่งเสียงร้องไห้
จ้าอยู่ (นาง) ถูกความร้อนแผดเผา (ไม่ช้า) ก็ขาดใจตายในที่นั้นเอง
พร้อมกับลูกน้อย (ของนาง) นั้น.
บทว่า สิรึสปา ได้แก่ สัตว์ตัวยาวทุกชนิดที่เลื้อยคลานไป
ความย่อยยับเพราะสัมผัสของสัตว์ตัวยาวเหล่านั้น พึงทราบด้วย
อำนาจแห่งเหตุมีถูกอ.. .พิษขบกัดเป็นต้น.
ลักษณะ ๒
ธรรมทั้งหลายมีลักษณะอยู่ ๒ ลักษณะ คือ สามัญญลักษณะ
(ลักษณะทั่วไป) ๑ ปัจจัตตลักษณะ (ลักษณะเฉพาะตัว) ๑ บรรดา
ลักษณะทั้งสองนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปัจจัตตลักษณะของ
รูปขันธ์ไว้เป็นอันดับแรกด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้. ก็
ปัจจัตตลักษณะนี้มีแก่รูปขันธ์เหล่านั้น หามีแก่ขันธ์ทั้งหลาย (นอกนี้)
มีเวทนาขันธ์เป็นต้นไม่ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ปัจจัตตลักษณะ.
ส่วนอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ย่อมมีแก่ขันธ์
ทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้นด้วย เพราะฉะนั้น ลักษณะทั้ง ๓ นั้นจึงเรียกว่า
สามัญญลักษณะ
เวทนา
คำเป็นต้นว่า กิญฺจ ภิกฺขเว เวทนํ วเทถ เป็นเหมือนกับคำที่
กล่าวมาก่อน จึงควรทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วนั่นและ ส่วนคำใดที่
ไม่เหมือนกับคำที่กล่าวมาก่อน คำนั้นมีการขยายความให้แจ่มแจ้ง
ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สุขํปิ เวทยติ ความ ย่อมรู้ คือ เสวยอารมณ์ที่
เป็นสุข. แม้ในสองบทต่อมาก็มีนัย (ความหมายอย่างเดียวกัน) นี้.
ถามว่า ก็อารมณ์นี้ ชื่อว่าเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
ได้อย่างไร?
ตอบว่า เป็นได้เพราะเป็นปัจจัยแห่งสุขเป็นต้น เนื้อความนี้นั้น
มาแล้วแลในมหาลิสูตรนี้ว่า ดูก่อนมหาลิ ก็เพราะเหตุที่รูปเป็นเหตุนำมา
ซึ่งความสุข เป็นเหตุให้ก้าวลงสู่ความสุข.
ในบทว่า เวทยติ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :
เวทนานั่นเองเสวยสุข ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคลอื่น เพราะว่า เวทนา
มีการเสวยอารมณ์เป็นลักษณะ เพราะฉะนั้น เวทนาเสวยได้ก็เพราะ
อาศัยวัตถุกับอารมณ์ รวมความว่า ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงจำแนกปัจจัตตลักษณะเท่านั้น แม้ของเวทนา ด้วยประการดัง
พรรณนามาฉะนี้.
สัญญา
บทว่า นีลํปิ สญฺชานาติ ความว่า จำได้หมายรู้โดยทำบริกรรม
ในดอกไม้สีเขียวหรือในผ้า จนถึงขั้นอุปจาร หรืออัปปนา. ก็ชื่อว่า
สัญญานี้ควรเป็นทั้งบริกัมมสัญญา ทั้งอุปจารสัญญา ทั้งอัปปนาสัญญา,
แม้สัญญาที่เกิดว่า "สีเขียว สีเขียว" ก็ควรเหมือนกัน. แม้ในสิ่งทั้งหลาย
มีสีเหลืองเป็นต้น ก็มีนัย (ความหมายอย่างเดียวกัน) นี้เหมือนกัน
แม้ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกแสดงเฉพาะปัจจัตตลักษณะ
ของสัญญา ซึ่งมีการจำได้หมายรู้เป็นลักษณะ.
สังขาร
บทว่า รูปํ รูปตฺตาย สงฺขตํ อภิสงฺขโรนฺติ ความว่า แม่ครัว
หุงต้มยายคู ก็เพื่อให้เป็นยาคู ปรุงขนมก็เพื่อให้เป็นขนมนั่นเอง ฉันใด
สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น ปรุงแต่ง คือประมวลมา ได้แก่รวบรวมไว้.
อธิบายว่า ให้สำเร็จซึ่งรูปนั้นเอง ที่ได้นามว่าสังขตะ เพราะปัจจัย
ทั้งหลายมาประชุมกันปรุงแต่ง เพื่อความเป็นรูป คือเพื่อความเป็นรูป
นั้น โดยประการที่สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง จะชื่อว่าเป็นรูปได้. แม้ในเวทนา
ทั้งหลาย ก็มีนัย (ความหมายอย่างเดียวกัน) นี้แล. ก็ในตอนที่ว่าด้วย
สังขารนี้ มีความย่อดังนี้ :-
สังขารทั้งหลาย ย่อมปรุงแต่ง คือ ยังรูปที่เกิดพร้อมกับตน
หรือธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้น ที่สัมปยุตกันให้บังเกิด แม้ในที่นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงจำแนกแสดงเฉพาะปัจจัตตลักษณะของ
สังขารซึ่งมีความตั้งใจเป็นลักษณะด้วยประการฉะนี้.
วิญญาณ
บทว่า อมฺพิลมฺปิ วิชานาติ ความว่า ย่อมรู้รสเปรี้ยวของ
ผลมะม่วง ผลมะกอก และผลมะนาว เป็นต้น ว่าเป็นรสเปรี้ยว.
ในบททั้งปวงก็นัยนี้. อีกประการหนึ่ง ในบทเหล่านี้ พึงทราบ
วินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ติตฺตกํ ได้แก่ รสขมนานัปการ มีรสขมของสะเดา และ
กระดอม เป็นต้น.
บทว่า กฏกํ ได้แก่ รสเผ็ดนานัปการ มีรสเผ็ดของดีปลีและ
พริก เป็นต้น
บทว่า มธุรํ ได้แก่ รสหวานนานัปการ มีรสหวานของเนยใส
และน้ำอ้อย เป็นต้น.
บทว่า ขาริกํ ได้แก่ รสเฝื่อนนานัปการ มีรสเฝื่อนของมะเขือ,
ของตาล. ของการะเกด, ของหน่อไม้, ของมะพร้าว, ของปอ,
และของหน่อหวาย เป็นต้น.
บทว่า อขาริกํ ได้แก่ ผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง (และ) ใบไม้ที่มี
รสระคนกัน มีใบหมากเม่า เป็นต้น
บทว่า โลณิกํ ได้แก่ รสเค็มประการต่าง ๆ มีรสเค็มของยาคู
ใส่เกลือ ปลาใส่เกลือ และข้าวสวยใส่เกลือ เป็นต้น.
บทว่า อโลณิกํ ได้แก่ รสจืดประการต่าง ๆ มีรสข้าวยาคูไม่ใส่
เกลือ ปลาไม่ใส่เกลือ และข้าวสวยไม่ใส่เกลือเป็นต้น.
บทว่า ตสฺมา วิญฺญาณนฺติ วุจฺจติ ความว่า เพราะเหตุที่
วิญญาณรู้จักรส แยกประเภทเป็นรสเปรี้ยวเป็นต้นนี้ โดยแตกต่างกัน
ออกไป คือ โดยความเป็นของเปรี้ยวเป็นต้น. ฉะนั้นจึงเรียกว่าวิญญาณ.
แม้ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกแสดงเฉพาะปัจจัตต-
ลักษณะของวิญญาณซึ่งมีการรู้แจ้ง (อารมณ์) เป็นลักษณะด้วย
ประการดังพรรณนามาฉะนี้แล.
สัญญา วิญญาณ ปัญญา
ก็เพราะเหตุที่สัญญาปรากฏ โดยกำหนดถึงอาการและสัณฐาน
ของอารมณ์ ฉะนั้น สัญญานั้น จึงทรงจำแนกไว้ในจักษุทวาร. (แต่)
เพราะเหตุที่วิญญาณปรากฏโดยกำหนดความแตกต่างเฉพาะอย่างของ
อารมณ์ เว้น (การกำหนด) อาการและสัณฐาน ฉะนั้น วิญญาณนั้นจึง
ทรงจำแนกไว้ในชิวหาทวาร.
อนึ่ง เพื่อกำหนดถึงสภาวะของสัญญาและวิญญาณเหล่านี้โดย
ไม่งมงาย จึงควรทราบถึงความแปลกกันในบทเหล่านี้ว่า สญฺชานาติ
(จำได้) วิชานาติ (รู้แจ้ง) ปชานาติ (รู้ชัด).
ในบททั้ง ๓ นั้น เพียงแต่อุปสรรค (สํ, วิ, ป) เท่านั้นที่แปลกกัน
ส่วนบทว่า ชานาติ ไม่แปลกกันเลย. อนึ่ง เพราะบทว่า ชานาติ นั้น
มีความหมายว่า รู้ จึงควรทราบความแปลกกันดังต่อไปนี้ :-
อธิบายว่า สัญญาเป็นเพียงการจำได้หมายรู้อารมณ์โดยเป็น
สีเขียวเป็นต้นเท่านั้น (แต่) ไม่สามารถให้ถึงการแทงตลอด (สามัญญ)
ลักษณะคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาได้.
วิญญาณ ย่อมรู้อารมณ์โดยเป็นสีเขียวเป็นต้น และให้ถึงการแทง
ตลอด (สามัญญ) ลักษณะมีไม่เที่ยงเป็นต้น แต่ไม่สามารถให้ก้าวไปถึง
มรรคปรากฏ (รู้แจ้งมรรค) ได้.
ปัญญา ย่อมรู้แจ้งอารมณ์โดยเป็นสีเขียวเป็นต้นด้วย ย่อมให้
ถึงการแทงตลอด (สามัญญ) ลักษณะ โดยเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นด้วย
ทั้งให้ก้าวไปถึงความปรากฏแห่งมรรค (รู้แจ้งมรรค) ด้วย.
เปรียบเทียบ
เปรียบเหมือน เมื่อเหรัญญิกนำกหาปณะมาทำเป็นกองไว้บน
แผ่นกระดานของเหรัญญิก เมื่อคน ๓ คน คือ เด็กไร้เตียงสา ชาวบ้าน
ธรรมดา (และ) เหรัญญิกผู้เชี่ยวชาญ ยืนมองดู เด็กไร้เดียงสา รู้แต่
เพียงว่า กหาปณะทั้งหลายสวยงาม วิจิตร (มีลักษณะ) สี่เหลี่ยม และ
กลมเป็นต้น (แต่) หารู้ไม่ว่า นี้เป็นรตนสมมติ ที่ใช้เป็นเครื่องอุปโภค
บริโภค ของมนุษย์ทั้งหลาย.
ชาวบ้านธรรมดา รู้ว่า กหาปณะทั้งหลายสวยงามเป็นต้น
เป็นรตนสมมติ ที่เป็นเครื่องอุปโภคและบริโภคของมนุษย์ทั้งหลาย
และรู้ว่า เป็นรตนสมมติ ที่เป็นเครื่องอุปโภคและบริโภคของมนุษย์
ทั้งหลาย. แต่หารู้ไม่ว่า นี้เป็นของปลอม นี้เป็นของแท้ นี้เนื้อไม่ดี
นี้เนื้อดี.
เหรัญญิกผู้เชี่ยวชาญ ย่อมรู้ว่า กหาปณะทั้งหลายสวยงาม
เป็นต้น ย่อมรู้ว่า กหาปณะทั้งหลายเรียกว่า รัตนะ ทั้งย่อมรู้ว่า
เป็นของปลอมเป็นต้นด้วย
ก็แลเมื่อรู้ พอได้เห็นรูปบ้าง ได้ยินเสียง (เคาะ) บ้าง ได้ดมกลิ่น
บ้าง ได้ลิ้มรสบ้าง ใช้มือชั่งดูถึงความหนักเบาบ้าง ก็ทราบได้ (ทันที)
ว่า ทำที่หมู่บ้านโน้นบ้าง ทราบว่า ทำที่นิคมโน้น ที่เมืองโน้น ที่ร่มเงา
ภูเขาโน้น (และ) ที่ริมฝั่งแม่น้ำโน้นบ้าง ทราบว่า อาจารย์โน้นทำบ้าง
ฉันใด (สัญญา วิญญาณ และปัญญา) ก็ฉันนั้นเหมือนกัน (คือ) สัญญา
ย่อมจำได้หมายรู้แต่เพียงอารมณ์ว่าเป็นสีเขียวเป็นต้นเท่านั้น เปรียบ
เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาเห็นกหาปณะฉะนั้น.
วิญญาณ ย่อมรู้อารมณ์ว่าเป็นสีเขียวเป็นต้น ทั้งให้ถึงการแทง
ตลอดลักษณะว่าไม่เที่ยงเป็นต้น เปรียบเหมือนชาวบ้านธรรมดาเห็น
กหาปณะฉะนั้น.
(ส่วน) ปัญญา ย่อมรู้อารมณ์ว่า เป็นสีเขียวเป็นต้นด้วย ให้ถึง
การแทงตลอดลักษณะว่าไม่เที่ยงเป็นต้นด้วย ทั้งสามารถให้ก้าวไปถึง
ความปรากฏแห่งมรรคด้วย เปรียบเหมือนเหรัญญิกผู้ชำนาญเห็น
กหาปณะฉะนั้น.
ก็ความแตกต่างกัน (ดังกล่าวมา) นั้นของ สัญญา วิญญาณ และ
ปัญญา เหล่านั้น แทงตลอด (เข้าใจ) ได้ยาก เพราะเหตุนั้น ท่าน
พระนาคเสนจึงถวายพระพร (พระยามิลินท์) ว่า ขอถวายพระพร
มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำสิ่งที่ทำได้ยาก.
พระยามิลินท์ตรัสถามว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ อะไรคือ
สิ่งที่ทำได้ยาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำไว้แล้ว ?
ท่านพระนาคเสนถวายพระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร
สิ่งทำได้ยากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำไว้คือ ตรัสบอกถึงการ
กำหนดอรูปธรรมทั้งหลายคือจิตและเจตสิกที่เป็นไปในอารมณ์
เดียวกันว่า นี้คือ ผัสสะ นี้คือ เวทนา นี้คือ สัญญา นี้คือ เจตนา นี้คือ จิต.
เปรียบเหมือน น้ำมัน ๕ ชนิดนี้คือ น้ำมันงา น้ำมันผักกาด
น้ำมันมะซาง น้ำมันละหุ่ง น้ำมันเปลว ที่ใส่รวมกันไว้ในถาดเดียวกัน
การที่จะตักน้ำมันแต่ละชนิดแยกออกจากถาดใบเดียวกันนั้นทีละอย่าง
(แล้วบอก) ว่า นี้น้ำมันงานะ นี้น้ำมันผักกาดนะ นับว่าทำได้ยาก
(อยู่แล้ว) การกำหนดอรูปธรรมคือจิตและเจตสิก ที่เป็นไปในอารมณ์
เดียวกัน (ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกไว้) นี้ทำได้ยากกว่านั้น.
แต่เพราะทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณมาดีแล้ว พระผู้มี-
พระภาคเจ้าผู้เป็นธรรมิสสรธรรมราช จึงทรง (สามารถ) ทำการ
กำหนดอรูปธรรมเหล่านี้ที่เป็นไปในอารมณ์เดียวกันได้.
แม้ด้วยการตักน้ำตรงที่ที่แม่น้ำใหญ่ ๕ สาย ไหลเข้าสู่ทะเลแล้ว
แยกออก (บอก) อย่างนี้ว่า นี้เป็นน้ำจากแม่น้ำคงคา นี้เป็นน้ำจาก
แม่น้ำยุมนา ก็พึงทราบความหมาย (ดังว่ามา) นี้.
ลักษณะของทุกข์
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสถึงลักษณะของอนัตตาด้วย
หัวข้อ ๒ หัวข้อ คือ หัวข้อที่หนึ่งตรัสถึงสุญญตา หัวข้อที่สอง
ตรัสถึงลักษณะของสุญญตา อย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะทรงแสดงถึง
ลักษณะของทุกข์ จึงตรัสคำว่า ตตฺร ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขชฺชามิ ความว่า รูปหาได้แทะเนื้อ
คนเรากินเหมือนสุนัขไม่ แต่พึงทราบว่า เปรียบเหมือนคนนุ่งผ้าเนื้อหยาบ .
พูดว่า ผ้ากัด (เนื้อ) เรา ดังนี้ ก็โดยมุ่งหมายเอาการเสียดสีที่เกิดจาก
การนุ่งผ้าเนื้อหยาบนั้นฉันใด แม้รูปนี้ก็ฉันนั้น (คือ) ให้เกิดการบีบคั้น
ขึ้นจึงชื่อว่า กิน.
บทว่า ปฏิปนฺโน โหติ ความว่า เป็นผู้ปฏิบัติเริ่มต้นตั้งแต่
(รักษา) ศีล (ให้บริสุทธิ์) จนกระทั่งถึง (บรรลุ) อรหัตตมรรค.
ก็ในบทนี้พึงทราบอธิบาย (เพิ่มเติม) ว่า พระโยคาวจร
รูปใด มีญาณเป็นกำลัง ยอดเยี่ยมด้วยพุทธญาณอันแก่กล้า บำเพ็ญ
เพียรอยู่ในภูมิธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญเพียร ถูกตอไม้ตำ
หรือหนามเกี่ยว ถูกอาวุธประหาร หรือถูกสัตว์ร้ายทั้งหลายมีเสือโคร่ง
เป็นต้นจับกิน ก็ทำเวทนานั้นให้เป็นอัพโพหาริก (ไม่ให้เวทนาปรากฏ)
พิจารณามูลกัมมัฏฐานย่อมยึดพระอรหัตต์ไว้ได้ทีเดียว พระโยคาวจรนี้
เรียกว่า ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับเวทนา
เหมือนพระมิคิมัลลเถระ เหมือนพระมหาติสสเถระบุตรของกุฎุมพี
เหมือนพระรูปหนึ่งในจำนวนพระประมาณ ๓๐ รูป (จำพรรษาอยู่ใน
ดงวัตตนี) ที่ (ถูกเสือโคร่งกัด) นอน (พิจารณากัมมัฏฐานอยู่) ใน
ปากเสือโคร่ง และเปรียบเหมือนพระเถระรูปที่ถูกหนามแทง ฉะนั้น.
พระถูกหนามแทงพิจารณากัมมัฏฐาน
เล่ากันว่า เมื่อพระ ๑๒ รูป เคาะระฆังแล้วบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่า
พระรูปหนึ่ง พอเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตเท่านั้นก็เคาะระฆังลงสู่ที่
จงกรม (ท่าน) จงกรมไปพลางเร่งความเพียรไปพลาง (พลาด) ไป
เหยียบหนามที่หญ้ากลบไว้. หนามทะลุออกหลังเท้า เวทนาเป็นไป
เหมือนเวลาถูกกระเบื้องคมบาดฉะนั้น. พระเถระคิดว่า เราจะถอน
หนามนี้ออก หรือจะปล่อยหนามให้แทงคาอยู่อย่างเดิม. ท่านได้มี
ความคิดดังนี้ว่า ชื่อว่าการไปในทุคคติมีนรกเป็นต้น (การตกนรก)
เพราะถูกหนามนี้แทง ไม่มีดอก (เราจะปล่อยให้) หนามแทงอยู่
อย่างเดิม. ท่านทำเวทนานั้นให้เป็นอัพโพหาริก (ไม่ให้เวทนาปรากฏ)
แล้วเดินจงกรมตลอดทั้งคืน เมื่อราตรีสว่าง ได้ส่งสัญญาณให้แก่พระ
อีกรูปหนึ่ง พระรูปนั้นจึงมา (หาท่าน) แล้วถามว่า "เป็นอะไรไป
ขอรับ ?"
"ผมถูกหนามแทง ผู้มีอายุ".
"เมื่อไร ขอรับ ? "
"ตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ผู้มีอายุ."
"ก็แล้วทำไม ท่านจึงไม่ร้องเรียกพวกผม พวกผมจะได้มาถอน
หนามออก แล้วเอาน้ำมันร้อนๆ หยอด (แผล) ให้ ?"
"หนามแทงคาอยู่ ผมพยายามถอนแล้วคุณ"
"ท่านถอนออกแล้ว หรือยังขอรับ ?"
"คุณ ผมถอนออกได้เพียงบางส่วน"
เรื่องที่เหลือ ได้อธิบายไว้อย่างพิสดารแล้ว ในนิเทศแห่ง
สติปัฏฐานสูตร ในอรฺรถกถาทีฆนิกาย และมัชฌิมนิกาย นั่นแล.
ลักษณะของอนิจจัง
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเริ่มว่า ตํ กึ มญฺญถ
ภิกฺขเว (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?)
ตอบว่า เมื่อก่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเฉพาะลักษณะของ
ทุกข์ไว้ หาได้ตรัสลักษณะของอนิจจังไว้ไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเริ่มคำว่า ตํ กึ มญฺญถ ภิกฺขเว นี้ไว้ ก็เพื่อแสดงถึงลักษณะของ
อนิจจังนั้น อนึ่ง เพื่อจะทรงประมวลลักษณะทั้ง ๓ (อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา) มาแสดงไว้ (พร้อมกัน) จึงทรงเริ่มคำนี้ไว้.
บทว่า อปจินาติ โน อาจินาติ ความว่า ทำวัฏฏะให้พินาศ
ไม่สั่งสมวัฏฏะไว้. บทว่า ปชหติ น อุปาทิยติ ความว่า ย่อมปล่อย
วัฏฏะนั้นนั่นแล คือไม่ยืดถือไว้. บทว่า วิสิเนติ น อุสฺสิเนติ ความว่า
ย่อมคลาย (วัฏฏะ) ไม่รวบรวมไว้. บทว่า วิธูเปติ น สนฺธูเปติ ความว่า
ย่อมทำวัฏฏะให้ดับ ไม่ให้ลุกโพลง.
ถามว่า เพราะเหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเริ่มคำนี้ไว้ว่า
เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเห็นอยู่อย่างนี้) ?
ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มไว้ เพราะทรงประสงค์ว่า
เราตถาคตจักแสดงมหาขีณาสพที่ทำวัฏฏะให้พินาศแล้วยังดำรงอยู่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวิปัสสนาไว้ด้วยฐานะ (เหตุ) เพียงเท่านี้
แล บัดนี้เพื่อจะทรงแสดงมรรค ๔ พร้อมทั้งวิปัสสนาจึงทรงเริ่มคำนี้
(เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว) ไว้.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมรรคที่ ๑ (โสดา-
ปัตติมรรค) ด้วยฐานะ (เหตุ) เพียงเท่านี้ บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดง
มรรค ๓ (สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค) พร้อมทั้ง
วิปัสสนา จึงทรงเริ่มคำนี้ (เอวํ. ปสฺสํ ภิกฺขเว) ไว้.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมรรค ๓ ด้วยฐานะ
เพียงเท่านี้ บัดนี้ ทรงเริ่มคำนี้ (เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว) ไว้ แม้เพื่อจะทรง
แสดงอรหัตตมรรคพร้อมทั้งวิปัสสนา นั่นแล
บทว่า สปชาปติกา ได้แก่ พร้อมทั้งท้าวเทวราชผู้เป็นปชาบดี.
บทว่า อารกาว นมสฺสนฺติ แปลว่า (เทวดาทั้งหลาย) นมัสการแต่
ที่ไกลทีเดียว คือนมัสการภิกษุผู้อยู่แม้ในที่ไกลนั่นแล เหมือนนมัสการ
ท่านพระนิฏเถระ ฉะนั้น.
พระนิฏเถระ
มีเรื่องเล่าว่า พระเถระออกบวชจากตระกูลคนเทดอกไม้ ได้
บรรลุพระอรหัตตผลในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเองแล้วคิดว่า เราเพิ่งบวช
วันนี้เอง กิจบรรพชิตของเราก็ถึงที่สุด (สำเร็จ) วันนี้เหมือนกัน
เราจักบำเพ็ญมหาอริยวังสปฏิปทาของบัณฑิตที่มีการเจริญความ
สันโดษในปัจจัย ๔ เป็นที่มายินดี.
ท่านเข้าไปในกรุงสาวัตถี ต้องการ (แสวงหา) ผ้าบังสุกุล
แล้วเที่ยวแสวงหาท่อนผ้าอยู่. ขณะนั้น ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งออกจาก
สมาบัติแล้วตรวจดูถิ่นมนุษย์อยู่เห็นพระเถระ คิดว่า พระเถระเพิ่งบวช
ในวันนี้เอง แล้วก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลในเวลาปลงผมเสร็จในวันนี้
เช่นกัน (บัดนี้) กำลังแสวงหาท่อนผ้าอยู่เพื่อบำเพ็ญมหาอริยวังสปฏิปทา
ดังนี้แล้ว ได้ยืนประคองอัญชลีนมัสการอยู่.
ต่อมา ท้าวมหาพรหมอีกท่านหนึ่ง เห็นท้าวมหาพรหมองค์แรก
ยืนประคองอัชลีนมัสการอยู่อย่างนั้นจึงถามว่า "ท่านนมัสการใคร?"
"นมัสการพระนิฏเถระ"
"เพราะเหตุไร?"
"พระนิฏเถระเพิ่งบวชในวันนี้เอง แล้วได้บรรลุพระอรหัตตผล
ในเวลาปลงผมเสร็จในวันนี้เช่นกัน (บัดนี้) กำลังแสวงหาท่อนผ้าอยู่
เพื่อบำเพ็ญมหาอริยวังสปฏิปทา"
ท้าวมหาพรหมแม้นั้นก็ได้ยืนนมัสการพระเถระนั้น (เช่นกัน)
ขณะนั้น ท้าวมหาพรหมอื่น ๆ (ก็ทยอยกันมา) รวมเป็นท้าวมหาพรหม
๗๐๐ ได้ยืนนมัสการ (พระนิฏเถระ).
ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวบทประพันธ์เป็นคาถาไว้ว่า
เทวดาเหล่านั้น จำนวนมากถึง ๗๐๐
ออกจากพรหมวิมาน มีจิตเลื่อมใส
นมัสการพระนิฏเถระอยู่ พระเถระ
เป็นพระขีณาสพ รับผ้าบังสุกุล.
ฯลฯ
เป็นพระขีณาสพทำผ้าบังสุกุล
ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยึดยอดพระอรหัตต์
โดยทรงขยายเทศนาออกไป ด้วยภพทั้ง ๓ ด้วยประการฉะนี้.
เวลาจบเทศนา ภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์.
จบอรรถกถาขัชชนิยสูตร