พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 337
กาลามสูตร*
ว่าด้วยมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงแปล
[๕๐๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า (ผู้มีคุณควรคบ หรือมี
คุณควรนับถือ) พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท
(เมืองขึ้นในแว่นแควนโกศล) บรรลุถึงเกสปุตตนิคม (เมืองชื่อเกสปุตตะ)
ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งหมู่ชนกาลามโคตร (วงศ์กาลาม) ชาวเกสปุตตนิคมได้
ทราบว่า พระสมณโคดมสักยบุตร (โอรสของกษัตริย์ชาติสักย) เสด็จออกผนวช
จากสักยสกุล เสด็จมาถึงเกสปุตตนิคมแล้ว จึงดำริว่า กิตติศัพท์อันงามของ
พระสมณโคดม ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็น
ผู้ไกลกิเลส (สิ่งที่เกิดขึ้นในใจแล้วทำใจให้เศร้าหมอง มีโลภเป็นต้น ) แลเป็น
ผู้ควรไหว้ควรบูชา เป็นผู้รู้ชอบเอง เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชา และข้อปฏิบัติ
เครื่องดำเนินถึงวิชชา เป็นผู้ไปแล้วดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควร
ฝึก ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า เป็นผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้
* บาลีเป็น เกสปุตตสูตร
เบิกบานแล้ว ในคุณทั้งปวงเต็มที่ เป็นผู้จำแนกแจกธรรมสั่งสอนประชุมชน
ท่านทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนโลกนี้กับทั้งเทวดามารพรหมและ
หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์และเทวดามนุษย์ให้รู้ตาม ท่านแสดงธรรม
ไพเราะ ทั้งในเบื้องต้นท่ามกลางที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ (ศาสนาคือคำ
สั่งสอน) บริบูรณ์บริสุทธิ์สิ้นเชิง การได้เห็นท่านผู้ไกลกิเลส แลควรไหว้
ควรบูชาอันทรงคุณเช่นนี้ ย่อมเป็นคุณความดี ให้ประโยชน์สำเร็จได้ ครั้น
ดำริอย่างนี้แล้ว พร้อมกันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า บางพวกกราบไหว้ตาม
อาการของผู้เลื่อมใส บางพวกเป็นแต่กล่าววาจาปราศรัยแสดงความยินดี
บางพวกเป็นแต่ประคองอัญชลีประณมมือ บางพวกร้องประกาศชื่อแลโคตร
ของตน ๆ ต่างคน นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง บางพวกนิ่งเฉยอยู่ ครั้นหมู่
กาลามชนชาวเกสปุตตนิคมนั้นนั่งเป็นปกติแล้ว จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาถึงเกสปุตตนิคมนี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น
พูดแสดงแต่ถ้อยคำของตนเชิดชูให้เห็นว่า ดีชอบควรจะถือตามถ่ายเดียว พูด
คัดค้านข่มถ้อยคำของผู้อื่น ดูหมิ่นเสียว่าไม่ดีไม่ชอบ ไม่ควรจะถือตาม ทำ
ถ้อยคำของตนให้เป็นปฏิปักษ์แก่ถ้อยคำของผู้อื่น ครั้นสมณพราหม์พวกหนึ่งอื่น
มาถึงเกสปุตตนิคมนี้อีก ก็เป็นเหมือนพวกก่อน เป็นอย่างนี้ทุก ๆ หมู่ จน
ข้าพระองค์มีความสงสัย ไม่รู้ว่าท่านสมณะเหล่านี้ ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า ควรแล้วท่านจะสงสัย ความสงสัย
ของท่านเกิดขึ้นแล้วในเหตุควรสงสัยจริง ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตาม
กันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่า
ได้ยินอย่างนี้ๆ อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อ
ว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือว่า สมณะผู้นี้
เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล
ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้
เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควร
ละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสห้ามไม่ให้ถือ โดยอาการสิบอย่าง มีถือ
โดยได้ฟังตามกันมาเป็นต้น ให้พิจารณารู้ด้วยตนเองแล้ว เว้นสิ่งที่ควรเว้นเสีย
อย่างนี้แล้ว จะทรงแนะนำ ให้กาลามชนได้ปัญญาพิจารณาเห็นสิ่งที่ควรเว้น
นั้นด้วยตนเอง จึงตรัสปุจฉา ยกโลภะ (ความละโมบอยากได้เหลือเกิน) โทษะ
(ความมีใจโกรธขัดเคืองแล้ว ประทุษร้ายใจตัวเองแลผู้อื่น) โมหะ (ความหลง)
ขึ้นถาม ให้กาลามชนทูลตอบตามความเห็นโดยลำดับ อย่างนี้
พ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน โลภความอยากได้เมื่อเกิดขึ้น
ในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือ หรือเพื่อสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์
กา. โลภนั้นย่อมเกิดขึ้นเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. บุรุษผู้โลภแล้ว อันความโลภครอบงำแล้ว มีใจอันความโลภ
ยึดไว้รอบแล้ว ฆ่าสัตว์มีชีวิตบ้าง ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้วบ้าง ถึง
ภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้นบ้าง สิ่งใดเป็นไป
เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน ผู้โลภแล้ว
ชักชวนผู้อื่นในสิ่งนั้น อันจริงหรือไม่.
กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
พ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน โทษะความประทุษร้ายเมื่อเกิด
ขึ้นภายในของบุรุษ เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์.
กา. โทษะนั้น เกิดขึ้นเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. บุรุษอันโทษะประทุษร้ายแล้ว อันโทษะครอบงำแล้ว มีใจอัน
โทษะยึดไว้รอบแล้ว ฆ่าสัตว์มีชีวิตบ้าง ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้วบ้าง
ผิดในภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้นบ้าง สิ่งใดเป็น
ไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน ผู้ที่
โทษะประทุษร้ายแล้ว ชักชวนผู้อื่นในสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่.
กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน โมหะความหลงเมื่อเกิดขึ้นภาย
ในของบุรุษ เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์.
กา. โมหะนั้นเกิดขึ้นเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. บุรุษผู้หลงแล้ว อันความหลงครอบงำแล้ว มีใจอันความหลง
ยึดไว้รอบแล้ว ฆ่าสัตว์มีชีวิตบ้าง ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้วบ้าง ผิดใน
ภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้นบ้าง สิ่งใดเป็นไป
เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน ผู้หลง
แล้วชักชวนผู้อื่นในสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่.
กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล หรือ
เป็นอกุศล
กา. เป็นอกุศล พระพุทธเจ้าข้า
พ. มีโทษ หรือไม่มีโทษ.
กา. มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ท่านผู้รู้ติเตียน หรือท่านผู้รู้สรรเสริญ.
กา. ท่านผู้รู้ติเตียน พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เป็นไปเพื่อทุกข์หรือไม่ ความเห็นของท่านในข้อนี้เป็นอย่างไร.
กา. ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เป็นไปเพื่อทุกข์ ความเห็นของข้าพระพุทธเจ้า ในข้อนี้อย่างนี้.
พ. เราได้กล่าวคำใดว่า ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้
ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ อย่าได้
ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน
อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิ
ของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือ
ว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็น
อกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใคร
ประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้
ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น ดังนี้ คำนั้นเราได้อาศัยความข้อนี้แล
กล่าวแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแนะนำให้กาลามชนได้ปัญญาพิจารณาเห็น
สิ่งที่ควรเว้นนั้นด้วยตนเองอย่างนี้แล้ว ตรัสสอนให้พิจารณาให้รู้ด้วยตนเองแล้ว
ทำสิ่งที่ควรทำต่อไปว่า ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับ
สืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ อย่าได้ถือโดยอ้าง
ตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัย คือคาดคะเน อย่าได้-
ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิของตน
อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือว่า สมณะ
ผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรม
เหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครประพฤติ
ให้เต็มที่แล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อสุข ดังนี้ ท่านควรถึงพร้อม
ธรรมเหล่านั้นอยู่ เมื่อนั้น.
ครั้นตรัสสอนอย่างนี้แล้ว ตรัสปุจฉายก อโลภะ (ความไม่โลภ)
อโทษะ (ความมีใจไม่ขัดเคือง ไม่ประทุษร้ายใจตัวเองแลผู้อื่น) อโมหะ
(ความไม่หลง) ขึ้นถาม ให้กาลามชนทูลตอบตามความเห็นโดยลำดับดุจหน-
หลัง ดังนี้
พ. ท่านจะสำคัญ ความนั้นเป็นไฉน อโลภะความไม่อยาก เมื่อเกิดขึ้น
ภายในแห่งบุรุษ เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์.
กา. อโลภะนั้นย่อมเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. บุรุษผู้ไม่โลภแล้ว อันโลภไม่ครอบงำแล้ว มีใจอันโลภะ
ไม่ยึดไว้รอบแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์มีชีวิต ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าไม่ให้แล้ว ไม่ผิดใน
ภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้น สิ่งใดเป็นไปเพื่อประ-
โยชน์ เพื่อสุขแก่ผู้อื่นนั้นสิ้นกาลนาน ผู้ไม่โลภแล้ว ชักชวนผู้อื่นในสิ่งนั้น
ข้อนี้จริงหรือไม่.
กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน อโทษะความไม่ประทุษร้าย
เมื่อเกิดขึ้นภายในแห่งบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อไม่เป็น
ประโยชน์.
กา. อโทษะนั้น เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. บุรุษอันโทษะไม่ประทุษร้ายแล้ว อันโทษะไม่ครอบงำ มีใจ
อันโทษะไม่ยึดไว้รอบแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์มีชีวิต ไม่เองสิ่งที่เจ้าของเขาไม่ให้แล้ว
ไม่ผิดในภรรยาผู้อื่น ไม่พูดชักชวนผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้น สิ่งใดเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เพื่อสุขแก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน ผู้อันโทษะไม่ประทุษร้าย ชักชวน
ผู้อื่นในสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่.
กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ท่านจะสำคัญความนี้เป็นไฉน อโมหะความไม่หลง เมื่อเกิดขึ้น
ภายในแห่งบุรุษ เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์.
กา. อโมหะนั้น เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. บุรุษผู้ไม่หลงแล้ว อันความหลงไม่ครอบงำแล้ว มีใจอัน
ความหลงไม่ยึดไว้รอบแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์มีชีวิต ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้
แล้ว ไม่ผิดในภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้น สิ่งใด
เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุขแก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน ผู้ไม่หลงแล้ว ชักชวน
ผู้อื่นในสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่.
กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล หรือเป็น
อกุศล.
กา. เป็นกุศล พระพุทธเจ้าข้า.
พ. มีโทษ หรือไม่มีโทษ.
กา. ไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ท่านผู้รู้ติเตียน หรือท่านผู้รู้สรรเสริญ.
กา. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุขหรือไม่
ความเห็นของท่านในข้อนี้ เป็นอย่างไร.
กา. ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข
ความเห็นของข้าพระพุทธเจ้าในข้อนี้เป็นอย่างนี้.
พ. เราได้กล่าวคำใดว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา
อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่า ได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ
อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัย คือ
คาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกัน
กับลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือ
โดยความนับถือว่า สมณะผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อสุข
ดังนี้ ท่านควรถึงพร้อมธรรมเหล่านั้นอยู่เมื่อนั้น ดังนี้ คำนั้นเราได้อาศัย
ความข้อนี้แลกล่าวแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแนะนำให้กาลามชนได้ปัญญา พิจารณาเห็น
ด้วยตนเองแล้ว ทำสิ่งที่ควรทำอย่างนี้แล้ว ทรงแสดงอานิสงส์อันชนผู้ปฏิบัติ
อย่างนั้น จะพึงได้จะพึงถึงดังนี้ว่า อริยสาวกนั้นปราศจากความโลภ ปราศจาก
พยาบาทแล้ว ไม่หลงแล้ว อย่างนี้ มีสติรู้รอบคอบ ใจประกอบด้วยเมตตา
คือ ปรารถนาให้หมู่สัตว์ได้ความสุขทั่วหน้า มีใจประกอบด้วยกรุณา คือ
ปรารถนาให้หมู่สัตว์พ้นจากทุกข์ทั่วหน้า มีใจประกอบด้วยมุทิตา คือ ร่าเริง-
บันเทิงต่อสมบัติที่สัตว์อื่นได้ แลมีใจประกอบด้วยอุเบกขา คือ ตั้งใจเป็นกลาง
ไม่ลำเอียงเข้าข้างไหน แผ่อัปปมัญญา (ภาวนาที่แผ่ไปในหมู่สัตว์ไม่มี
ประมาณ) พรหมวิหาร (ธรรมเป็นที่อยู่ของผู้ประเสริฐ) สี่ประการนี้ไป
ตลอดทิศที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ มีใจประกอบด้วยเมตตา (ความปรารถนา
ให้เป็นสุข) กรุณา (ความปรารถนาให้พ้นจากทุกข์) มุทิตา (ความร่าเริง
ยินดีต่อสมบัติที่ผู้อื่นได้) อุเบกขา (ความเฉยเป็นกลาง) ไพบูลย์เต็มที่ เป็น
จิตใหญ่มีสัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน
แผ่อัปปมัญญาพรหมวิหารตลอดโลกอันมีสัตว์ทั้งปวง ในที่ทั้งปวง ด้วยความ
เป็นผู้มีใจในสัตว์ทั้งปวง ทั้งทิศเบื้องบนเบื้องต่ำเบื้องขวาง ดังนี้ อยู่เสมอ
อริยสาวกนั้นมีจิตหาเวรมิได้ อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้ อย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองแล้ว อย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้ว อย่างนี้ เธอได้ความอุ่นใจ
สี่ประการในชาตินี้ ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่. ผลแห่งกรรม
ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ข้อนี้เป็นสถานที่ตั้งซึ่งจะเป็นได้ คือเบื้องหน้าแต่กาย
แตกตายไปแล้ว เราจะเข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวก
ได้แล้วเป็นที่หนึ่ง ความอุ่นใจที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมที่
สัตว์ทำดีทำชั่วก็ไม่มี เราก็จะรักษาตนให้เป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความลำบาก
ไม่มีทุกข์ มีแต่สุขในชาตินี้ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สอง
ความอุ่นใจที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำ เราไม่ได้
คิดบาปให้แก่ใคร ๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาปดังนี้ ความ-
อุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม ความอุ่นใจที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป
บาปไม่ชื่อว่าเป็นอันทำ เราก็ได้พิจารณาเห็นตนเป็นคนบริสุทธิ์ แล้วทั้งสองส่วน
ดังนี้ ความอุ่นใจนี้อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่ อริยสาวกนั้นมีจิตหาเวรมิได้
อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้ อย่างนี้ ทีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้
มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ เธอได้ความอุ่นใจสี่ประการเหล่านี้แล ในชาตินี้.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระธรรมเทศนาจบแล้ว กาลามชน
ทูลรับว่า ข้อนั้นเป็นจริงอย่างนั้น ๆ แล้ว ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา
และแสดงตนเป็นอุบาสกว่า ภาษิตของพระองค์ไพเราะยิ่งนัก ๆ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมเทศนาโดยบรรยาย (เหตุหรือกระแสความ)
หลายอย่าง ให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นทางที่จะปฏิบัติแจ้งชัดแก่ปัญญา อุปมา
ดุจบุคคลหงายของที่คว่ำ หรือเช่นเปิดของที่มีสิ่งกำบังไว้ หรือเหมือนบอกทาง
ให้แก่คนหลงทาง หรือเปรียบอย่างตามตะเกียงไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีนัยน์ตา
จักได้เห็นรูป ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งพำนัก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้า
ไว้ว่าเป็นอุบาสก ถึงสรณะ (สิ่งที่ควรถึงว่าเป็นที่พึ่งพำนัก) จนตลอดชีวิต
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้.
จบกาลามสูตรที่ ๕
อรรถกถากาลามสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในกาลามสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กาลามานํ นิคโม ได้แก่ นิคมของพวกกษัตริย์ ชื่อว่า
กาลามะ. บทว่า เกสปุตฺติยา ได้แก่ผู้อยู่ในนิคม ชื่อว่า เกสปุตตะ. บทว่า
อุปสงฺกมึสุ ความว่า ให้ถือเอาเภสัช มีเนยใส เนยข้น เป็นต้น และน้ำปานะ
๘ อย่าง เข้าไปเฝ้า.
บทว่า สกํเยว วาทํ ทีเปนฺติ ความว่า กล่าวลัทธิของตนนั่นแหละ.
บทว่า โชเตนฺติ ได้แก่ประกาศ. บทว่า ขุเํ สนฺติ ได้แก่ พูดกระทบ
กระเทียบ. บทว่า วมฺเภนฺติ ได้แก่พูดดูหมิ่น. บทว่า ปริภวนฺติ ได้แก่
กระทำให้ลามก. บทว่า โอปปกฺขี กโรนฺติ ได้แก่ทำการลบล้าง คือยก
ทิ้งไป. บทว่า อปเรปิ ภนฺเต ความว่า เล่ากันมาว่า บ้านนั้นตั้งอยู่ที่
ปากดง เพราะฉะนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ข้ามดงมาก็ดี จะถอยกลับก็ดี
ต้องพักอยู่ในบ้านนั้น. แม้บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มาถึงก่อน
จะแสดงลัทธิของตนแล้วหลีกไป พวกที่มาภายหลัง ก็แสดงลัทธิของตนว่า
สมณพราหมณ์เหล่านั้นจะรู้อะไร เขาเหล่านั้นเป็นอันเตวาสิกของพวกเรา
เล่าเรียนศิลปะบางอยู่ในสำนักของเรา ดังนี้แล้ว ก็หลีกไป. ชาวกาลามะ
ทั้งหลายไม่สามารถ เพื่อจะยืนหยัดอยู่แม้ในลัทธิเดียวได้.
ชาวกาลามะเหล่านั้น แสดงความนี้แล้ว จึงกราบพูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอย่างนี้ แล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า เตสํ โน ภนฺเต ดังนี้. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า โหเตว กงฺขา ความว่า (ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย) มีความ
เคลือบแคลงจริง ๆ. บทว่า วิจิกิจฺฉา เป็นไวพจน์ของ กงฺขา นั่นแหละ.
บทว่า อลํ แปลว่า ควรแล้ว.
บทว่า มา อนุสฺสเวน ได้แก่อย่าเชื่อถือ แม้โดยถ้อยคำตามที่ได้
ฟังมา. บทว่า มา ปรมฺปราย ได้แก่อย่าเชื่อถือ แม้โดยถ้อยคำที่นำสืบๆ
กันมา. บทว่า มา อิติกิริยาย ได้แก่อย่าเชื่อถือว่า ได้ยินว่าข้อนี้เป็น
อย่างนี้. บทว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน ได้แก่อย่าเชื่อถือว่า ข้อความนี้
สมกับตำราของเราบ้าง. บทว่า มา ตกฺกเหตุ ได้แก่อย่าเชื่อถือ แม้โดย
การถือเอาตามที่ตรึกไว้. บทว่า มา นยเหตุ ได้แก่อย่าเชื่อถือ แม้โดยการถือ
เอาตามนัย. บทว่า มา อาการปริวิตกฺเกน ได้แก่อย่าเชื่อถือ แม้โดยการตรึก
ตามเหตุการณ์อย่างนี้ว่า เหตุนี้ดี. บทว่า ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา ได้แก่
อย่าเชื่อถือว่า ข้อนี้สมกับความเห็น ที่พวกเราพินิจพิจารณา ทนต่อการ
พิสูจน์ จึงถือเอา. บทว่า มา ภพฺพรูปตาย ได้แก่อย่าเชื่อถือ โดยคิดว่า
ภิกษุนี้เหมาะสม ควรเธอถือถ้อยคำของภิกษุนี้ได้. บทว่า มา สมโณ โน
ครุ ได้แก่อย่าเชื่อถือว่า พระสมณะรูปนี้ เป็นครูของเรา ควรเธอถือถ้อยคำ
ของพระสมณะรูปนี้ได้.
บทว่า สมตฺตา ได้แก่บริบูรณ์. บทว่า สมาทินฺนา ได้แก่ที่เรา
ถือเอาแล้ว คือลูบคลำแล้ว. บทว่า ยํ ตสฺส โหติ ความว่า เหตุใดมีแก่
บุคคลนั้น. กุศลมูลทั้งหลาย มีอโลภะเป็นต้น พึงทราบด้วยสามารถแห่งธรรม
ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโลภะเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสบุพภาคแห่งเมตตา
ด้วยบทมีอาทิว่า วิคตาภิชฺโฌ ดังนี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสกัมมัฏฐาน มีเมตตาเป็นต้น
จึงตรัสคำมีอาทิว่า เมตฺตาสหคเตน ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทใด
พึงกล่าวโดยนัยแห่ง กัมมัฏฐานกถา และภาวนาปธาน หรือโดยอรรถกถา
แห่งบาลี คำทั้งหมดนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นแล้ว
บทว่า เอวํ อเวรจิตฺโต ความว่า ชื่อว่า มีจิตหาเวรมิได้เพราะ
ไม่มี ทั้งเวรที่เป็นอกุศล ทั้งบุคคลผู้เป็นคู่เวร. บทว่า อพฺยาปชฺฌจิตฺโต
ความว่า ชื่อว่า มีจิตหาทุกข์มิได้ เพราะไม่มีจิตโกรธเคือง. บทว่า อสงฺ-
กิลิฏฺ ฐจิตฺโต ความว่า ชื่อว่า ผู้มีจิตไม่เศร้าหมอง เพราะไม่มีกิเลส. บทว่า
วิสุทฺธจิตฺโต มีอธิบายว่า ชื่อว่ามีจิตบริสุทธิ์ เพราะไม่มีมลทิน คือ กิเลส.
บทว่า ตสฺส ได้แก่พระอริยสาวกนั้น คือ เห็นปานนั้น. บทว่า อสฺสาสา
ได้แก่เป็นที่อาศัย คือเป็นที่พึ่ง.
บทว่า สเจ โข ปน อตฺถิ ปโร โลโก ความว่า ถ้าชื่อว่า
โลกอื่น นอกจากโลกนี้ มีอยู่ไซร้. บทว่า ฐานเมตํ เยนาหํ กายสฺส
เภทา ฯ เป ฯ อุปปชฺชิสฺสามิ ความว่า ข้อที่เราจักเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์
หลังจากตายแล้ว เพราะกายแตกสลายไป เป็นเหตุที่มีได้ ฉะนั้น ในทุก ๆ บท
พึงทราบนัยดังที่พรรณนามานี้. บทว่า อนีฆํ แปลว่า ไม่มีทุกข์. บทว่า
สุขึ แปลว่า ถึงแล้วซึ่งความสุข. บทว่า อุภเยเนว วิสุทฺธํ อตฺตานํ
สมนุปสฺสามิ ความว่า เราจะพิจารณาเห็นตัวเอง เป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วยเหตุ
ทั้งสองนี้ คือ (ถ้าบาปเป็นอันบุคคลต้องทำ) เราก็ไม่ได้ทำบาป แม้เมื่อ
บุคคลทำบาปมีอยู่ เราก็ไม่ได้ทำ ๑. คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถากาลามสูตรที่ ๕